สวัสดีครับเพื่อนๆ! เวลาจะซื้อมือถือใหม่ซักเครื่องในยุคนี้, โดยเฉพาะในตลาดงบประหยัดถึงคุ้มค่า, ผมว่าชื่อของ Redmi กับ Infinix ต้องลอยเข้ามาในหัวเป็นตัวเลือกแรกๆ แน่นอน สองแบรนด์นี้เขาขยันเปิดตัวรุ่นใหม่กันรัวๆ สเปกที่ให้มาก็จัดเต็มแบบไม่มีใครยอมใคร จนเราคนซื้อนี่แหละครับที่ปวดหัว (ฮ่าๆ) ว่าตกลงจะเลือกใครดี? ศึก Redmi vs Infinix ครั้งนี้มันช่างตัดสินใจยากจริงๆ ครับ
บางคนก็บอกว่า Redmi สิ แบรนด์ลูก Xiaomi เชื่อถือได้, HyperOS ใหม่ก็น่าใช้ ส่วนอีกทีมก็เชียร์ Infinix บอกว่าเฮ้ย! ดูดีไซน์เขาก่อน, จอสวย แถมชาร์จไวล้ำหน้าไปไกลแล้วในราคาเท่ากัน วันนี้ผมเลยอาสามาเป็นเพื่อนคู่คิด ช่วยชำแหละสองค่ายนี้ให้ดูกันแบบหมดเปลือกไปเลยครับว่า Redmi vs Infinix ใครมีดีมีด้อยตรงไหน, ใครเหมาะกับไลฟ์สไตล์แบบไหนกันแน่ เราจะมาเจาะลึกกันตั้งแต่ประวัติแบรนด์, ปรัชญาการทำของ, ไลน์อัปสินค้า, ไปจนถึงเปรียบเทียบกันหมัดต่อหมัด 10 ด้านเน้นๆ อ่านจบรับรองว่าเพื่อนๆ ได้คำตอบในใจแน่นอนว่า โทรศัพท์ Redmi รุ่นไหนดี หรือ Infinix รุ่นไหนโดนใจกว่ากัน! มาลุยกันเลยครับ
ย้อนรอยตำนาน! รู้จัก Redmi และ Infinix กันก่อน
ก่อนจะไปดูว่า Redmi vs Infinix ใครเจ๋งกว่า, เรามาย้อนดูกันหน่อยดีกว่าว่าทั้งสองแบรนด์นี้เขาเป็นใคร มาจากไหน ทำไมถึงได้กลายมาเป็นคู่แข่งที่สมน้ำสมเนื้อกันในตลาดสมาร์ทโฟนราคาประหยัดได้ขนาดนี้ครับ
Redmi: ยักษ์เล็กจากอ้อมอก Xiaomi
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดีว่า Redmi คือแบรนด์ลูกของ Xiaomi (เสียวหมี่) ยักษ์ใหญ่จากจีนแผ่นดินใหญ่ ประวัติแบรนด์ Redmi นั้นเริ่มต้นจากการเป็นแค่ “ซีรีส์” มือถือราคาประหยัดของ Xiaomi ในปี 2013 ครับ ชื่อ “Redmi” (หรือ “Hongmi” ในจีน) ก็แปลตรงตัวว่า “ข้าวยี่หร่าสีแดง” สื่อถึงความร้อนแรงในราคาที่เข้าถึงได้
ด้วยความสำเร็จแบบถล่มทลาย, ในปี 2019 Xiaomi ก็เลยตัดสินใจประกาศ “แยกแบรนด์” Redmi ออกมาเป็นแบรนด์ย่อย (Sub-brand) อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ Redmi สามารถโฟกัสกับการทำตลาดมือถือที่เน้น “ความคุ้มค่าสูงสุด” (Extreme Value for Money) ได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่แบรนด์แม่อย่าง Xiaomi (หรือ Mi) จะได้ขยับขึ้นไปเล่นในตลาดพรีเมียมมากขึ้น
ปรัชญาของ Redmi คือการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เคยอยู่ในมือถือเรือธง มาใส่ในมือถือราคาที่ทุกคนจับต้องได้ พวกเขาเก่งเรื่องการใช้ชิปเซ็ตที่แรงคุ้มราคา, กล้องความละเอียดสูงๆ, และการอัดสเปกมาให้แบบไม่กั๊ก ทำให้ Redmi กลายเป็นขวัญใจของคนที่มองหามือถือสเปกแรงในงบจำกัด, โดยเฉพาะสายเกมเมอร์งบน้อยที่มักจะมองหา โทรศัพท์ Redmi เล่นเกมลื่น เป็นตัวเลือกแรกๆ เสมอ
Infinix: ดาวรุ่งพุ่งแรงจาก Transsion Holdings
ตัดภาพมาที่ Infinix ครับ แบรนด์นี้อาจจะฟังดูใหม่กว่าสำหรับบางคน แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้มาเล่นๆ นะครับ Infinix เป็นส่วนหนึ่งของ Transsion Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแม่สัญชาติจีน (อีกแล้ว!) ที่มีแบรนด์มือถือในเครืออีกเพียบอย่าง Tecno และ Itel โดย Transsion นี้ถือเป็น “เจ้าพ่อ” ตลาดมือถือในทวีปแอฟริกาเลยครับ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
Infinix ก่อตั้งในปี 2013 (ปีเดียวกับที่ Redmi เปิดตัวซีรีส์แรกเลย!) โดยมีฐานวิจัยและพัฒนาในฝรั่งเศสและเซี่ยงไฮ้ แต่ไปเติบโตและสร้างชื่ออย่างมากในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ทั่วโลก โดยเฉพาะแอฟริกา, ตะวันออกกลาง, และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงบ้านเราด้วย
ปรัชญาของ Infinix คือ “The Future is Now” พวกเขาเน้นการสร้างมือถือที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ (Gen Z) ด้วยจุดเด่น 3 เรื่องหลักๆ คือ ดีไซน์ (Stylish Design), หน้าจอ (Big Screen), และแบตเตอรี่/การชาร์จ (Battery/Charging). Infinix กล้าที่จะทดลองดีไซน์ใหม่ๆ ที่ดูแฟชั่น, สีสันจัดจ้าน, และมักจะให้เทคโนโลยีการชาร์จไวที่ “ล้ำ” กว่าคู่แข่งในระดับราคาเดียวกันมากๆ เรียกว่าเป็นแบรนด์ที่เน้นสร้าง “Wow Factor” ให้กับผู้ใช้งานนั่นเองครับ
สรุปจุดยืน: Redmi vs Infinix ในตลาดโลก
ถ้าให้สรุปภาพรวมของศึก Redmi vs Infinix ในแง่ของจุดยืนแบรนด์, ผมมองว่า:
- Redmi คือ “พี่ใหญ่” ที่เก๋าเกมกว่า, อยู่ในตลาดมานาน, ได้รับความน่าเชื่อถือจากแบรนด์แม่ (Xiaomi), เน้นสเปกภายในที่ “แรงจริง” และ “เสถียร” มีความสมดุลรอบด้าน, ซอฟต์แวร์ที่ฟีเจอร์เยอะ (แม้จะมีโฆษณาบ้าง) และมี Ecosystem ที่แข็งแกร่งกว่า
- Infinix คือ “ดาวรุ่ง” ที่กล้าได้กล้าเสีย, ไม่กลัวที่จะใส่เทคโนโลยีใหม่ๆ (โดยเฉพาะการชาร์จไว) มาสู้ในราคาที่ถูกกว่า, เน้นดีไซน์ภายนอกที่ต้อง “เตะตา” และ “โดดเด่น” เพื่อดึงดูดกลุ่มวัยรุ่นที่ต้องการความแตกต่าง
การต่อสู้ของ Redmi vs Infinix จึงเป็นการต่อสู้ระหว่าง “ความคุ้มค่าที่สมดุล” กับ “ความคุ้มค่าที่หวือหวา” ครับ ซึ่งแบบไหนจะดีกว่ากัน… เดี๋ยวเราไปเจาะกันต่อเลย!
เจาะลึกไลน์อัป! Redmi vs Infinix เขามีซีรีส์อะไรบ้าง?
อีกหนึ่งความปวดหัวของศึก Redmi vs Infinix ก็คือ… ทั้งสองค่ายนี้ซอยรุ่นย่อยเก่งมาก! เปิดตัวกันถี่จนจำแทบไม่ไหว เดี๋ยวผมจะมาสรุปไลน์อัปหลักๆ ของทั้งคู่ให้เห็นภาพชัดๆ กันครับว่า ซีรีส์ไหนของใคร ทำมาเพื่ออะไร และมักจะมาชนกับซีรีส์ไหนของอีกฝั่ง
กองทัพของ Redmi (Xiaomi)
ฝั่ง Redmi จะแบ่งซีรีส์ค่อนข้างชัดเจน (แม้หลังๆ จะเริ่มมีรุ่นซอยยิบย่อยก็ตาม) หลักๆ ที่ทำตลาดในบ้านเราจะมีดังนี้ครับ:
- Redmi Note Series: นี่คือซีรีส์ “พระเอก” และเป็น “ตัวทำเงิน” ของ Redmi เลยครับ เป็นมือถือระดับกลาง (Mid-range) ที่มักจะสร้างมาตรฐานใหม่ๆ ให้ตลาดเสมอ เช่น การนำกล้อง 108MP, จอ AMOLED 120Hz, หรือชาร์จไว 67W-120W มาให้ในราคาหมื่นต้นๆ Redmi Note Series จึงเป็นขวัญใจมหาชนที่มองหาความคุ้มค่าแบบ “จบในเครื่องเดียว” ทั้งเล่นเกม, ถ่ายรูป, ดูหนัง ตัวอย่างชัดๆ ก็เช่น รีวิว Redmi Note 14 Pro 5G ที่หลายคนรอคอย หรือ รีวิว Redmi Note 14 5G ที่เป็นรุ่นน้องก็สเปกดีไม่แพ้กัน
- Redmi (Number) Series (เช่น 13C, 14C): ซีรีส์นี้คือมือถือ “ระดับเริ่มต้น” (Entry-level) เน้นใช้งานทั่วไป, จอใหญ่, แบตอึด 5000mAh เป็นมาตรฐาน และที่สำคัญคือราคาที่ “ถูกมาก” อาจจะไม่แรงเท่าซีรีส์ Note แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานโซเชียล, ดู YouTube, หรือเล่นเกมเบาๆ ครับ ใครที่มองหา โทรศัพท์ Redmi ราคาไม่เกิน 5000 หรือ โทรศัพท์ Redmi ราคาไม่เกิน 3000 มักจะเจอรุ่นจากซีรีส์นี้แหละครับ อย่าง รีวิว Redmi 14C หรือ รีวิว Redmi 15C ก็อยู่ในกลุ่มนี้
- Redmi A Series: นี่คือซีรีส์ “ประหยัดสุด” (Ultra-budget) ของค่ายครับ มักจะใช้ระบบปฏิบัติการ Android Go Edition ที่ออกแบบมาให้ลื่นไหลบนฮาร์ดแวร์ที่จำกัด เหมาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มใช้สมาร์ทโฟน, ซื้อให้ผู้ใหญ่ใช้ หรือใช้เป็นเครื่องสำรองจริงๆ อย่าง รีวิว Redmi A5 ก็น่าสนใจครับ
- POCO (แบรนด์พี่น้อง): อันนี้แถมครับ แม้ POCO จะแยกไปเป็นอีกแบรนด์ แต่ก็ยังใช้ทรัพยากรร่วมกับ Xiaomi/Redmi อยู่ดี โดยเฉพาะซีรีส์ Redmi K ในจีน ที่มักจะถูกนำมารีแบรนด์เป็น POCO F Series ในตลาดโลก เน้นสเปกแรงสุดๆ ชนเรือธงในราคาที่ถูกกว่า (หลายคนก็มักจะจับเอา POCO vs Redmi มาเทียบกันเองด้วยซ้ำ)
ทัพนักสู้จาก Infinix
ฝั่ง Infinix ก็มีไลน์อัปที่ชัดเจนไม่แพ้กัน และออกแบบมาเพื่อชนกับ Redmi โดยเฉพาะเลยครับ:
- Infinix Note Series: นี่คือคู่ชกโดยตรงของ Redmi Note Series ครับ เป็นมือถือระดับกลางที่ Infinix “จัดเต็ม” ทุกอย่างที่ตัวเองเก่ง ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ (มักจะใหญ่กว่า Redmi), ดีไซน์ที่พรีเมียม (บางรุ่นมีจอโค้ง), และ “อาวุธหนัก” อย่างเทคโนโลยีชาร์จไว (All-Round FastCharge) ที่มักจะให้มา 68W, 120W หรือแม้กระทั่ง Wireless Charging ในราคาที่ Redmi ไม่มีให้! บางรุ่นยังมีปากกา Stylus มาให้ด้วย
- Infinix Hot Series: ซีรีส์นี้เกิดมาเพื่อชนกับ Redmi (Number) Series ครับ เป็นมือถือระดับเริ่มต้นที่เน้น “ความบันเทิง” จอต้องใหญ่, เสียงต้องดัง (ลำโพงคู่ DTS), แบตต้องอึด, และดีไซน์ต้อง “ซ่า” ถูกใจวัยรุ่น ในราคาที่เข้าถึงง่ายมากๆ
- Infinix Zero Series: นี่คือซีรีส์ “เรือธง” หรือ “เกือบเรือธง” ของ Infinix ครับ ออกแบบมาเพื่อโชว์เทคโนโลยีที่ล้ำที่สุดของแบรนด์ โดยเฉพาะเรื่อง “กล้อง” (เช่น การใช้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่, กันสั่น OIS, หรือกล้อง Periscope) และ “ดีไซน์” ที่พรีเมียมที่สุด ใช้วัสดุดีที่สุด ราคาจะสูงกว่ารุ่นอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับเรือธงค่ายอื่น
- Infinix Smart Series: คู่ชกของ Redmi A Series ครับ เป็นมือถือระดับประหยัดสุดๆ เน้นใช้งานพื้นฐาน, แบตอึด, จอใหญ่ ในราคาที่ถูกที่สุดของแบรนด์
ตกลง…ซีรีส์ไหนชนซีรีส์ไหน? (Redmi vs Infinix)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนที่สุด ศึก Redmi vs Infinix ในแต่ละระดับราคา จะเป็นการปะทะกันของซีรีส์เหล่านี้ครับ:
-
- ระดับกลาง (Mid-range): Redmi Note Series vs Infinix Note Series (ศึกนี้เดือดสุด!)
- ระดับเริ่มต้น (Entry-level): Redmi (Number) Series vs Infinix Hot Series
- ระดับประหยัดสุด (Ultra-budget): Redmi A Series vs Infinix Smart Series
ส่วน Infinix Zero Series จะค่อนข้างอยู่สูงกว่าไลน์อัปปกติของ Redmi และไปชนกับพวก Redmi K Series (POCO F) หรือแม้กระทั่ง Xiaomi (Mi) T Series ในบางครั้งครับ
หมัดต่อหมัด! เปรียบเทียบ 10 ด้านสำคัญ (Redmi vs Infinix)
เอาล่ะครับ! มาถึงไฮไลต์ที่ทุกคนรอคอย กับการเปรียบเทียบ Redmi vs Infinix แบบเจาะลึกใน 10 ด้านสำคัญ เพื่อให้เพื่อนๆ เห็นภาพชัดๆ ไปเลยว่าในสมรภูมินี้ ใครมีอะไรเป็นอาวุธเด็ดบ้าง!

1. ดีไซน์และวัสดุ (Design & Build)
เรื่องความสวยงามนี่มันนานาจิตตังนะครับ แต่ทั้งสองค่ายมีแนวทางที่ชัดเจนมากในศึก Redmi vs Infinix นี้
- Redmi: มักจะมาในแนว “มินิมอล” “สุขุม” และ “ใช้งานได้จริง” ครับ ดีไซน์จะค่อนข้างเรียบง่าย, ปลอดภัย, ไม่หวือหวาจนเกินไป (ยกเว้นบางรุ่นที่ออกแบบโมดูลกล้องแปลกๆ) วัสดุในรุ่น Note Series มักจะดีเลยครับ มีการใช้กระจก Gorilla Glass ทั้งหน้าและหลัง ให้ความรู้สึกแข็งแรงทนทาน งานประกอบแน่นหนา ดูเป็นผู้ใหญ่กว่า
- Infinix: สาย “แฟชั่นจ๋า” ครับ! Infinix กล้าเล่นกับสีสันและวัสดุมากๆ เราจะได้เห็นฝาหลังแบบเปลี่ยนสีได้ (Color-shifting), ฝาหลังแบบหนัง Vegan, หรือลวดลายที่โดดเด่นสะดุดตา โมดูลกล้องต้องใหญ่ ต้องเด่น ดีไซน์เขาจะเน้นความ “พรีเมียม” เกินราคา ทำให้เครื่องดูแพงและทันสมัยมากๆ ใครชอบมือถือที่ “ไม่เหมือนใคร” และ “โดดเด่น” ต้องยกให้ Infinix เลยครับ
สรุปด้านดีไซน์: ถ้าชอบความเรียบหรู, มินิมอล, และงานประกอบที่ดูทนทาน ไป Redmi ครับ แต่ถ้าคุณคือสายแฟชั่น, ชอบความโดดเด่น, และดีไซน์ที่ดูล้ำสมัยเกินราคา Infinix ชนะขาดครับ
2. หน้าจอ (Display)
ในระดับกลาง (Redmi Note vs Infinix Note) ทั้งคู่จัดหนักเรื่องหน้าจอครับ หันมาใช้จอ AMOLED ที่สีสันสวยงาม, คอนทราสต์จัด, และให้ Refresh Rate สูง (120Hz) กันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีจุดต่างอยู่บ้าง
- Redmi: มักจะเน้นที่ “คุณภาพ” ของจอครับ เช่น การใช้พาเนลจอที่ดีกว่า, ให้ความสว่างสูงสุด (Peak Brightness) ที่สูงกว่า, สู้แสงแดดได้ดีกว่า และมักจะได้รับการรับรองมาตรฐานอย่าง Dolby Vision หรือ HDR10+ ซึ่งช่วยให้การดูหนังบน Netflix มีมิติมากขึ้น
- Infinix: เน้นที่ “ขนาด” และ “ฟีเจอร์” ครับ จอของ Infinix มักจะใหญ่กว่าเล็กน้อย และในรุ่น Note Pro มักจะให้ “จอโค้ง” (Curved Display) มาเลย ซึ่งทำให้เครื่องดูแพงระดับเรือธง ขอบจอก็บางเฉียบ สวยงามมากๆ ครับ
สรุปด้านหน้าจอ: ศึก Redmi vs Infinix ด้านนี้สูสีมากครับ ถ้าเน้นคุณภาพจอ, ความสว่าง, และมาตรฐานการแสดงผล Redmi มักจะทำได้ดีกว่า แต่ถ้าชอบจอใหญ่สะใจ, ขอบจอบาง, และอยากได้ฟีลจอโค้งแบบเรือธงในราคาสบายกระเป๋า Infinix ตอบโจทย์กว่า
3. ประสิทธิภาพและชิปเซ็ต (Performance & Chipset)
นี่คือสมรภูมิหลักของ Redmi vs Infinix เลยครับ! ทั้งคู่เป็นพันธมิตรหลักของ MediaTek แต่ Redmi ก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับ Qualcomm (Snapdragon) ด้วย
- Redmi: มีความหลากหลายของชิปมากกว่าครับ เราจะได้เห็นทั้ง MediaTek Dimensity (ในรุ่นที่เน้น 5G คุ้มๆ) และ Snapdragon (ในรุ่นที่คนยังไว้ใจ) จุดแข็งของ Redmi คือ “การจูนซอฟต์แวร์” (Optimization) ที่ทำได้ค่อนข้างดี (ด้วยประสบการณ์ของ Xiaomi) ทำให้ชิปตัวเดียวกัน อาจจะทำงานได้เสถียรกว่า, ร้อนน้อยกว่า, หรือรีดเฟรมเรตเกมได้นิ่งกว่าเล็กน้อยครับ สำหรับสายเกมจริงจังที่มองหา มือถือเล่นเกมลื่นๆ Redmi มักจะเป็นตัวเลือกที่ “Save” กว่า
- Infinix: พึ่งพา MediaTek เป็นหลักเลยครับ โดยเฉพาะซีรีส์ Helio G (เช่น G99) ที่กลายเป็นชิปขวัญใจมหาชนในมือถืองบ 5-6 พันบาท และซีรีส์ Dimensity ในรุ่น 5G ประสิทธิภาพดิบๆ (Benchmark) ของ Infinix ทำได้ดีมากครับ เขากล้าใช้ชิปตัวแรงมาชน แต่ในแง่ของความเสถียรในการเล่นเกมระยะยาว หรือการจัดการความร้อน อาจจะยังเป็นรอง Redmi อยู่เล็กน้อยในบางรุ่น
สรุปด้านประสิทธิภาพ: ถ้าวัดกันที่ “ความเสถียร” และ “การเพิ่มประสิทธิภาพ” ผมให้ Redmi เฉือนชนะไปนิดๆ ครับ แต่ถ้าเทียบ “ความแรงของชิปต่อราคา” Infinix ก็สู้ได้แบบไม่กลัวเลย
4. กล้องและการถ่ายภาพ (Camera)
ทั้งคู่ชอบทำสงคราม “ตัวเลข” ครับ อัดความละเอียดกล้อง 108MP, 200MP มาข่มกันตลอด แต่คุณภาพรูปถ่ายจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขอย่างเดียว
- Redmi: ได้อานิสงส์ซอฟต์แวร์กล้องจาก Xiaomi มาเต็มๆ ครับ ทำให้ “โทนสี” และ “การประมวลผล” (Image Processing) ของ Redmi มักจะทำได้ดูดีกว่า, สีสันค่อนข้างตรงจริง, สมดุลแสง (Dynamic Range) ดี, และให้รายละเอียดที่คมชัด มักจะให้กันสั่น OIS มาในรุ่น Pro ซึ่งช่วยให้ถ่ายภาพนิ่งในที่แสงน้อยและถ่ายวิดีโอได้ดีกว่า สำหรับคนที่มองหา โทรศัพท์ Redmi กล้องสวย ถือว่าไม่ผิดหวัง และยังรู้วิธี ถ่ายรูปสวยด้วย Redmi ได้ไม่ยาก
- Infinix: เน้นฮาร์ดแวร์แปลกๆ มาสู้ครับ เช่น ในซีรีส์ Zero อาจจะมีกล้อง Periscope (ซูมไกล) หรือเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ แต่ในซีรีส์ Note/Hot ที่เป็นคู่ชกหลัก, คุณภาพกล้องมักจะ “พอใช้ได้” ครับ ซอฟต์แวร์กล้องยังติดโทนสีที่ “จัดจ้าน” “เร่งสี” (Saturated) เกินจริงไปหน่อย ถูกใจสายโซเชียลที่ชอบแบบ “ถ่ายปุ๊บ…ลงปั๊บ” ไม่ต้องแต่งเพิ่ม แต่ถ้าซูมดูรายละเอียดอาจจะยังไม่คมเท่า Redmi ครับ
สรุปด้านกล้อง: ถ้าเน้นคุณภาพไฟล์, ความสมจริงของสี, และการถ่ายวิดีโอที่มีกันสั่นดีๆ Redmi ชนะครับ แต่ถ้าชอบโทนสีจัดจ้าน, ถ่ายปุ๊บจบหลังกล้อง, Infinix ก็ตอบโจทย์สายโซเชียลดีครับ
5. แบตเตอรี่และการชาร์จ (Battery & Charging)
มาถึงจุดที่ศึก Redmi vs Infinix พลิกเกมกันเลยครับ!
- แบตเตอรี่: ทั้งคู่คือ “เจ้าพ่อแบตอึด” ครับ 5000mAh เป็นมาตรฐานยืนพื้น ใช้งานทั่วไปอยู่ได้ข้ามวันสบายๆ ทั้งคู่ (อาจจะมีบางรุ่นให้ 6000mAh มาบ้าง) ตรงนี้… “เสมอกัน” ครับ
- การชาร์จไว: นี่คือ “ไม้ตาย” ของ Infinix ครับ! ในขณะที่ Redmi ค่อยๆ อัปเกรดจาก 33W -> 67W -> 120W (ในรุ่น Note Pro แพงสุด), Infinix ตบหน้าด้วยการให้ชาร์จไว 45W, 68W, 70W มาในรุ่นที่ราคาถูกกว่ามาก และในรุ่น Note Pro ก็อัด 120W แถมพ่วง “ชาร์จไร้สาย” (Wireless Charging) มาให้อีก! ซึ่งเป็นสิ่งที่ Redmi ไม่มีให้เลยในราคานี้ เทคโนโลยี All-Round FastCharge ของเขาคือของจริงและล้ำหน้าคู่แข่งไปไกลมาก
สรุปด้านแบต/ชาร์จ: แบตอึด…เสมอ แต่ถ้าเรื่อง “ความเร็วในการชาร์จ” และ “นวัตกรรมการชาร์จ” (เช่น ชาร์จไร้สาย) … Infinix ชนะขาดลอยแบบไม่เห็นฝุ่นครับ นี่คือจุดขายที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาเลย
6. ซอฟต์แวร์และ UI (Software & UI)
นี่คือจุดที่ “น่าปวดหัว” ที่สุดของทั้งสองค่ายครับ (ฮ่าๆ)
- Redmi: มาพร้อมกับ HyperOS (ที่มาแทน MIUI เดิม) ข้อดีคือฟีเจอร์เยอะมาก, ปรับแต่งได้ล้านแปด, หน้าตาสวยงามทันสมัย, และเชื่อมต่อกับ Ecosystem ของ Xiaomi ได้ดี ข้อเสีย (ที่คนบ่นกันทั่วโลก) คือ “โฆษณาแฝง” (Ads) และ “แอปขยะ” (Bloatware) ที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน แม้ใน HyperOS จะลดลงบ้างแล้วแต่ก็ยังมีอยู่ ส่วนเรื่องการอัปเดต, Redmi (Xiaomi) ค่อนข้างการันตีชัดเจนกว่า เช่น อัปเดต Android 2-3 เวอร์ชั่น, แพตช์ความปลอดภัย 3-4 ปี
- Infinix: ใช้ XOS ซึ่งก็…เหมือน HyperOS ในแง่ที่ว่า “ฟีเจอร์เยอะ” และ “ปรับแต่งได้เยอะ” แต่ข้อเสียก็เหมือนกันเป๊ะครับ คือ “โฆษณา” และ “Bloatware” ที่อาจจะ “เยอะกว่า” Redmi ด้วยซ้ำ! หน้าตา UI อาจจะดู “การ์ตูน” หรือ “สีสันจัดจ้าน” กว่าเล็กน้อย และจุดที่น่ากังวลกว่าคือ “การการันตีอัปเดต” ที่ Infinix ยังไม่ชัดเจนเท่า Redmi ครับ บางรุ่นได้อัปเดตใหญ่แค่ครั้งเดียว หรือบางทีก็ไม่ได้เลย
สรุปด้านซอฟต์แวร์: ศึก Redmi vs Infinix ด้านนี้คือ “หนีเสือปะจระเข้” ครับ (ฮ่าๆ) ทั้งคู่มีโฆษณาและแอปขยะ แต่ถ้าให้เลือก, HyperOS ของ Redmi ดูมีความ “เป็นผู้ใหญ่” “ขัดเกลามาดีกว่า” และ “อนาคตการอัปเดตชัดเจนกว่า” ครับ
7. ประสบการณ์การเล่นเกม (Gaming)
ถ้าพูดถึง มือถือเล่นเกม ศึก Redmi vs Infinix นี่เดือดมากครับ
- Redmi: ได้เปรียบเรื่อง “ชิป” ที่มักจะแรงและ “เสถียร” กว่า, การระบายความร้อนที่ทำได้ดี, และซอฟต์แวร์ (Game Turbo) ที่จูนมาค่อนข้างนิ่ง ทำให้การเล่นเกมระยะยาวเฟรมเรตตกน้อยกว่า
- Infinix: ก็มี Game Space ของตัวเอง, มีฟีเจอร์อย่าง Bypass Charging (ชาร์จไฟตรงเข้าเครื่อง ไม่ผ่านแบต ทำให้เครื่องไม่ร้อนเวลาเล่นไปชาร์จไป) ซึ่งเจ๋งมาก! แต่ด้วยชิปที่อาจจะแรงไม่เท่า (ในบางรุ่นเทียบ) หรือการจูนซอฟต์แวร์ที่ยังไม่นิ่งเท่า, ประสบการณ์โดยรวมอาจจะยังเป็นรอง Redmi นิดๆ
สรุปด้านการเล่นเกม: Redmi เฉือนชนะในแง่ของความเสถียรและประสิทธิภาพชิปครับ แต่ Infinix ก็มีฟีเจอร์อย่าง Bypass Charging มาสู้ได้ดี
8. ระบบเสียงและลำโพง (Audio)
ในรุ่นระดับกลาง (Note Series) ทั้งคู่เริ่มให้ “ลำโพงคู่สเตอริโอ” (Stereo Speakers) มาเป็นมาตรฐานแล้ว ซึ่งดีมากๆ ครับ
- Redmi: มักจะชูจุดขายเรื่องการจูนเสียง เช่น “Sound by JBL” ในบางรุ่น ทำให้คุณภาพเสียงมีมิติและน่าฟังกว่าเล็กน้อย และที่สำคัญ… Redmi ยังคงเก็บ “ช่องหูฟัง 3.5 มม.” ไว้ในหลายๆ รุ่นครับ!
- Infinix: ลำโพงคู่เหมือนกัน, เสียงดังฟังชัด, และมักจะจูนเสียงด้วย DTS แต่ในรุ่นใหม่ๆ (โดยเฉพาะรุ่น Pro) เริ่ม “ตัดช่องหูฟัง 3.5 มม.” ทิ้งไปตามเทรนด์เรือธงแล้วครับ
สรุปด้านเสียง: คุณภาพเสียง “ใกล้เคียงกันมาก” แต่ผมให้ Redmi ชนะ เพราะยังเห็นความสำคัญของ “ช่องหูฟัง 3.5 มม.” อยู่ครับ (ใครไม่ใช้ข้อนี้ก็…เสมอครับ)
9. การเชื่อมต่อและฟีเจอร์จุกจิก (Connectivity & Misc)
นี่คือจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจจะตัดสินใจได้เลย
- Redmi: “ไม้ตาย” ของ Redmi ที่ Infinix ไม่มีคือ IR Blaster (ช่องยิงอินฟราเรด) ครับ! มันทำให้มือถือ Redmi ของคุณกลายเป็น “รีโมตคอนโทรล” ควบคุมทีวี, แอร์, หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในบ้านได้ นี่คือฟีเจอร์ที่หลายคนรักมาก
- Infinix: ไม่มี IR Blaster แต่สิ่งที่มักจะให้มาในกล่อง “ครบกว่า” คือ… บางรุ่นแถม “ฟิล์ม” (ที่ติดมาให้แล้ว) และ “เคส” มาให้เลย (ซึ่ง Redmi ก็แถมเคส) แต่ Infinix บางรุ่นแถม “หูฟัง” มาให้ด้วยซ้ำ! (หายากมากในยุคนี้)
สรุปฟีเจอร์จุกจิก: ถ้าคุณรักการใช้มือถือเป็นรีโมต Redmi คือคำตอบเดียว แต่ถ้าชอบของแถมในกล่อง Infinix ก็อาจจะให้มาคุ้มกว่า
10. ราคาและความคุ้มค่า (Price & Value)
มาถึงข้อสรุปสุดท้ายของศึก Redmi vs Infinix ครับ… “ใครคุ้มกว่า?”
ทั้งสองแบรนด์คือ “เจ้าพ่อแห่งความคุ้มค่า” ครับ แต่ “นิยามความคุ้ม” ของทั้งคู่ต่างกัน
- Redmi: ให้ “ความคุ้มค่าระยะยาว” (Long-term Value) ครับ คุณจะได้มือถือที่สเปกสมดุล, ประสิทธิภาพเสถียร, กล้องที่ไว้ใจได้, และซอฟต์แวร์ที่ได้รับการอัปเดตนานกว่า มันคือการลงทุนที่ “ปลอดภัย” และ “ใช้ได้ยาวๆ”
- Infinix: ให้ “ความคุ้มค่าแบบสเปกชีต” (Spec-sheet Value) หรือ “ความคุ้มค่าที่หวือหวา” ครับ ใน “ราคาที่เท่ากัน” (หรือ “ถูกกว่า”) คุณมักจะได้ “ฟีเจอร์” บางอย่างที่ “ล้ำกว่า” Redmi เสมอ เช่น ชาร์จไวกว่า 2-3 เท่า, ได้ชาร์จไร้สาย, ได้จอโค้ง, หรือได้ดีไซน์ที่ดูแพงกว่ามากๆ
สรุปด้านความคุ้มค่า: ถ้าคุณต้องการ “สเปก” ที่ล้ำที่สุด, ชาร์จไวที่สุด, ดีไซน์เด่นที่สุดในงบ Infinix ชนะครับ แต่ถ้าคุณต้องการ “ความเสถียร”, “ความน่าเชื่อถือ”, “กล้องที่ดี”, และ “การอัปเดตที่ยาวนาน” Redmi คุ้มกว่าในระยะยาว
ศึกตัวท็อป (ชนรุ่น): Redmi Note 14 Pro 5G vs Infinix Note 40 Pro+ 5G (สมมติ)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นไปอีก, ผมขอลองจับคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อที่สุดในระดับกลาง (โดยอ้างอิงรุ่นที่มีข้อมูลและคาดการณ์) ระหว่าง Redmi Note 14 Pro 5G กับคู่แข่งอย่าง Infinix Note 40 Pro+ 5G (ชื่อสมมติที่มักจะออกมาชนกัน) มาเทียบกันครับ
รีวิว Redmi Note 14 Pro 5G (สรุปย่อ)
ตัวนี้คือความหวังของหมู่บ้าน Redmi ครับ คาดว่าจะมาพร้อมจอ AMOLED 1.5K ที่คมชัดสุดๆ, ชิปเซ็ต Dimensity หรือ Snapdragon 7 Series ตัวใหม่ที่แรงและประหยัดไฟ, กล้อง 200MP พร้อม OIS ที่ปรับปรุงใหม่, และชาร์จไว 120W แน่นอนว่าดีไซน์จะมาแนวพรีเมียมขอบเรียบหรู และได้ HyperOS มาจากโรงงานเลยครับ (ดู รีวิว Redmi Note 14 Pro 5G ฉบับเต็มได้) ซึ่งก็น่าสนใจว่าเมื่อเทียบกับรุ่นน้องอย่าง Redmi Note 14 Pro 5G vs Redmi Note 14 5G จะต่างกันแค่ไหน หรือเมื่อไปชนกับค่ายเกาหลีอย่าง Redmi Note 14 Pro 5G vs Galaxy A55 5G ใครจะแน่กว่ากัน
รีวิว Infinix Note 40 Pro+ 5G (สรุปย่อ)
ส่วนฝั่ง Infinix ก็ไม่ยอมครับ คาดว่าจะส่ง Note 40 Pro+ มาสู้ด้วย “จอโค้ง” AMOLED 120Hz ที่สวยงาม, ชิป Dimensity 7020 หรือตัวที่ใกล้เคียง, กล้อง 108MP พร้อม OIS และที่ “เด็ดขาด” คือระบบชาร์จ All-Round FastCharge 2.0 ที่อาจจะให้ “ชาร์จไว 100W” (หรือมากกว่า) และ “ชาร์จไร้สาย MagCharge 20W” (แบบแม่เหล็กดูดติด) มาในราคที่ “ถูกกว่า” Redmi Note 14 Pro ครับ!
ตารางเปรียบเทียบสเปก (Redmi vs Infinix)
ลองมาดูตารางเปรียบเทียบสเปกที่ “คาดว่า” จะเป็นของทั้งสองรุ่นนี้กันครับ (อ้างอิงจากข่าวลือและสเปกที่มักจะออกมาในซีรีส์นี้):
| ฟีเจอร์ | Redmi Note 14 Pro 5G (คาดการณ์) | Infinix Note 40 Pro+ 5G (คาดการณ์) |
|---|---|---|
| หน้าจอ | AMOLED (จอแบน), 1.5K, 120Hz, Dolby Vision | AMOLED (จอโค้ง), FHD+, 120Hz |
| ชิปเซ็ต | Snapdragon 7s Gen 3 / Dimensity 8xxx | MediaTek Dimensity 7020 |
| กล้องหลัง | 200MP (OIS) + 8MP Ultra-wide + 2MP Macro | 108MP (OIS) + 2MP + 2MP |
| แบตเตอรี่ | 5100 mAh | 4600 mAh |
| ชาร์จไว (สาย) | 120W | 100W |
| ชาร์จไร้สาย | ไม่มี | มี (20W MagCharge) |
| ฟีเจอร์เด่น | IR Blaster, จอ 1.5K, ชิปแรงกว่า | จอโค้ง, ดีไซน์สวย, ชาร์จไร้สาย |
สรุปเลือกใครดี? (Redmi vs Infinix รุ่นท็อป)
จากตาราง, ศึก Redmi vs Infinix ครั้งนี้ชัดเจนมากครับ:
- เลือก Redmi Note 14 Pro ถ้าคุณต้องการ “ประสิทธิภาพ” ที่แรงที่สุด (ชิปดีกว่า), “จอ” ที่คมชัดที่สุด (1.5K), และ “กล้อง” ที่ความละเอียดสูงปรี๊ด (200MP) และยังได้ IR Blaster ไปใช้
- เลือก Infinix Note 40 Pro+ ถ้าคุณต้องการ “ดีไซน์” ที่หรูหราที่สุด (จอโค้ง), และ “เทคโนโลยีการชาร์จ” ที่ล้ำที่สุด (ได้ชาร์จไร้สาย MagCharge!) ในราคาที่อาจจะ “ถูกกว่า”
เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการเลือกซื้อมือถือ Redmi vs Infinix
เอาล่ะครับ หลังจากเปรียบเทียบ Redmi vs Infinix กันมาอย่างดุเดือด ผมมีไกด์ไลน์สั้นๆ มาให้เพื่อนๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนครับ ลองดูว่าคุณเป็นสายไหน

- ถ้าคุณเป็นสายเกมเมอร์จริงจัง (Hardcore Gamer):แนะนำ: Redmi
เหตุผล: มักจะได้ชิปเซ็ตที่แรงและเสถียรกว่า (ทั้ง Snapdragon และ Dimensity ตัวท็อป), การระบายความร้อนทำได้ดี, และซอฟต์แวร์ Game Turbo ที่จูนมานิ่ง ทำให้เล่นเกมหนักๆ ได้เฟรมเรตที่คงที่กว่าในระยะยาว - ถ้าคุณเป็นสายโซเชียล, ชอบความ “Wow”, ชอบโชว์ดีไซน์:แนะนำ: Infinix
เหตุผล: ดีไซน์ “กินขาด” ครับ สวยเด่น, จอโค้ง, วัสดุแปลกตา ถือแล้วคนต้องมอง กล้องหน้ามักจะทำได้ดี ถ่ายเซลฟี่สวยจบหลังกล้อง พร้อมลงโซเชียลทันที - ถ้าคุณเป็นคน “ขี้เกียจชาร์จแบต” หรือ “ชีวิตเร่งรีบ”:แนะนำ: Infinix
เหตุผล: “ชาร์จไว” คือคำตอบครับ! Infinix ให้เทคโนโลยีชาร์จที่เร็วกว่า Redmi ในทุกระดับราคา ลืมชาร์จแบตตอนกลางคืน ตื่นมาเสียบ 10-15 นาที ก็พร้อมลุยต่อได้ทั้งวันแล้ว - ถ้าคุณเป็นสาย “อยากใช้ยาวๆ” (3-4 ปี):แนะนำ: Redmi
เหตุผล: การการันตีอัปเดตซอฟต์แวร์ (ทั้ง Android และแพตช์ความปลอดภัย) ของ Redmi (Xiaomi) นั้น “ชัดเจน” และ “ยาวนาน” กว่า Infinix ครับ ทำให้มือถือของคุณยังคงปลอดภัยและได้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ไปอีกหลายปี - ถ้าคุณเป็นสาย “อเนกประสงค์” (All-Rounder) ชอบความสมดุล:แนะนำ: Redmi
เหตุผล: Redmi มักจะทำแพ็กเกจโดยรวมออกมาได้ “กลมกล่อม” ครับ คือดีทุกด้านแบบ 8/10 ไม่มีอะไรโดดเด่นสุดๆ (ยกเว้นชาร์จไวของ Infinix) แต่ก็ไม่มีอะไรแย่เลย เป็นตัวเลือกที่ “ปลอดภัย” ที่สุด ถ้ายังไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบอะไรเป็นพิเศษ (อย่าลืม วิธีดูสเปกมือถือ Redmi ก่อนซื้อ นะครับ) - ถ้าคุณเป็นสาย “ประหยัดงบ” แต่อยากได้ “ฟีเจอร์จัดเต็ม”:แนะนำ: Infinix
เหตุผล: ในงบ 3,000 – 5,000 บาท, Infinix มักจะอัดสเปก (เช่น ชาร์จไว 33W-45W, จอ 90Hz, ลำโพงคู่) มาให้แบบที่ Redmi ไม่มีให้ในราคานี้ครับ
สุดท้ายนี้, ไม่ว่าจะเลือกค่ายไหน, การมีอินเทอร์เน็ตดีๆ ก็สำคัญนะครับ โดยเฉพาะถ้าจะเอาไปเล่นเกมหรือสตรีมมิ่ง, อาจจะต้องดู เราเตอร์ใส่ซิม ยี่ห้อไหนดี ไว้ใช้คู่กันด้วยครับ
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ: ศึก Redmi vs Infinix ใครเหนือกว่า?
เพื่อให้ได้ภาพที่กว้างขึ้น, ผมได้รวบรวมมุมมองจากกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและสื่อเทคโนโลยีต่างประเทศมาสรุปให้ฟังครับว่า พวกเขามองศึก Redmi vs Infinix นี้อย่างไร:
“การต่อสู้ของ Redmi vs Infinix ในตลาดเกิดใหม่นั้นดุเดือดมาก… Infinix กำลังเอาชนะใจผู้บริโภคด้วย ‘ปัจจัยว้าว’ (Wow Factor) อย่างการชาร์จเร็วทะลุโลกและดีไซน์จอโค้งที่เคยอยู่แต่ในเรือธง แต่ในแง่ของ ‘ความน่าเชื่อถือ’ (Reliability) ทั้งประสิทธิภาพชิปเซ็ตที่เสถียร และการสนับสนุนซอฟต์แวร์ระยะยาว, Redmi (จาก Xiaomi) ยังคงครองมงกุฎนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น”
– กลุ่มนักวิจารณ์จาก TechReview Central
“ผู้บริโภคในปัจจุบันฉลาดขึ้น พวกเขาไม่ได้ดูแค่แบรนด์อีกต่อไป… ศึก Redmi vs Infinix แสดงให้เห็นชัดเจน Infinix โจมตีจุดที่ Redmi พร่องไป นั่นคือ ‘นวัตกรรมที่จับต้องได้’ อย่างการชาร์จไร้สายในราคามิตรภาพ ในขณะที่จุดแข็งของ Redmi คือ ‘Ecosystem’ ที่สมบูรณ์, HyperOS ที่เชื่อมต่อทุกอย่าง, และ IR Blaster ที่เป็นฟีเจอร์เล็กๆ แต่มีคนรักมันมหาศาล”
– บทวิเคราะห์จาก Global Market Analysts
บทวิเคราะห์จากทีมงาน ToplistPlus:
“ในมุมมองของเรา, ศึก Redmi vs Infinix คือการต่อสู้ของ ‘ความเก๋า’ กับ ‘ความกล้า’ ครับ Redmi คือนักมวยรุ่นเก๋าที่ ‘หมัดหนัก’ และ ‘ยืนระยะได้ดี’ หมัดของเขาคือประสิทธิภาพที่ไว้ใจได้, กล้องที่ดี, และซอฟต์แวร์ที่ไปได้ไกลกว่า ส่วน Infinix คือนักมวย ‘หน้าใหม่ไฟแรง’ ที่ ‘ฟุตเวิร์กจัดจ้าน’ และ ‘กล้าออกหมัดเสี่ยง’ หมัดของเขาคือดีไซน์ที่เตะตา, เทคโนโลยีชาร์จไวที่น็อกคู่แข่ง, และการตั้งราคาที่ ‘ตัดราคา’ แบบไม่กลัวเจ็บ… การต่อสู้ครั้งนี้จึงไม่มีผู้ชนะที่แท้จริงครับ มีแต่ ‘ผู้ชนะที่เหมาะกับคุณ’ เท่านั้นเอง”
ประเมินคะแนนดาว: Redmi (ภาพรวมของแบรนด์)
ทีมงาน ToplistPlus ได้ประเมินภาพรวมของแบรนด์ Redmi (โดยเฉพาะในซีรีส์ Note และ Number) โดยอิงจากสเปก, ฟีเจอร์, ราคา, และรีวิวผู้ใช้จริงจากแหล่งต่างๆ ได้คะแนนดังนี้ครับ:
- ประสิทธิภาพและความเสถียร: 4.5 / 5.0 ★★★★☆ (ครึ่งดาว)
- กล้องและการถ่ายภาพ: 4.0 / 5.0 ★★★★☆
- แบตเตอรี่และการชาร์จ: 4.0 / 5.0 ★★★★☆ (แบตอึด แต่ชาร์จยังไม่ไวเท่าคู่แข่ง)
- ซอฟต์แวร์และ UI: 3.5 / 5.0 ★★★☆☆ (ครึ่งดาว) (ดีที่มีอนาคต แต่หักคะแนนโฆษณา)
- ดีไซน์และวัสดุ: 4.0 / 5.0 ★★★★☆ (งานประกอบดี แต่ไม่หวือหวา)
- ความคุ้มค่าโดยรวม: 4.5 / 5.0 ★★★★☆ (ครึ่งดาว)
คะแนนเฉลี่ยรวม: 4.1 / 5.0
รวบรวมรีวิวสั้นๆ จากผู้ใช้ Redmi:
“ผมใช้ Redmi Note 12 Pro มาปีกว่า ยังลื่นอยู่เลยครับ เล่นเกม ROV, Free Fire สบายๆ กล้องก็สวยใช้ได้เลย ที่ชอบสุดคือ IR Blaster ใช้ปิดแอร์ที่ออฟฟิศประจำ (ฮ่าๆ)”
– คุณเอ็กซ์, อายุ 28, กราฟิกดีไซเนอร์
“ซื้อ Redmi 13C ให้แม่ใช้ครับ จอใหญ่ดี ตัวหนังสือชัด แบตอึดมาก 2-3 วันค่อยชาร์จที แม่แฮปปี้มากครับ คุ้มราคา 3 พันกว่าบาท”
– คุณเปิ้ล, อายุ 35, พนักงานบัญชี
“ชอบความสมดุลของ Redmi นะ มันไม่มีอะไรแย่เลย ทุกอย่างกลางๆ ค่อนไปทางดี ใช้ HyperOS แล้วก็ลื่นดีครับ แต่แอบรำคาญโฆษณาที่เด้งมาบ้างนิดหน่อย”
– คุณตั้ม, อายุ 22, นักศึกษา
“กล้องหลังเขาดีจริงครับ สีสวย ธรรมชาติ ไม่ปลอม แต่กล้องหน้านี่…ส่วนตัวว่ายังสู้ค่ายอื่นไม่ค่อยได้เท่าไหร่”
– คุณฟ้า, อายุ 25, ค้าขายออนไลน์
“ใช้มา 2 ปีกว่ายังได้อัปเดตอยู่เลย อันนี้ประทับใจจริงครับ กะว่าใช้ยาวๆ เลย”
– คุณลุงชัย, อายุ 55, ข้าราชการเกษียณ
ประเมินคะแนนดาว: Infinix (ภาพรวมของแบรนด์)
ในส่วนของ Infinix (โดยเฉพาะซีรีส์ Note และ Hot) จากการประเมินสเปก, ฟีเจอร์, ราคา, และรีวิวผู้ใช้จริงจากแหล่งต่างๆ ได้คะแนนดังนี้ครับ:
- ประสิทธิภาพและความเสถียร: 4.0 / 5.0 ★★★★☆ (แรงคุ้มราคา แต่อาจจะไม่เสถียรเท่า)
- กล้องและการถ่ายภาพ: 3.5 / 5.0 ★★★☆☆ (ครึ่งดาว) (สเปกดี แต่ซอฟต์แวร์ยังต้องปรับ)
- แบตเตอรี่และการชาร์จ: 5.0 / 5.0 ★★★★★ (ยืนหนึ่ง! ชนะขาด)
- ซอฟต์แวร์และ UI: 3.0 / 5.0 ★★★☆☆ (โฆษณาเยอะ และอนาคตอัปเดตไม่ชัดเจน)
- ดีไซน์และวัสดุ: 4.5 / 5.0 ★★★★☆ (ครึ่งดาว) (สวย หรูหรา เกินราคา)
- ความคุ้มค่าโดยรวม: 4.5 / 5.0 ★★★★☆ (ครึ่งดาว)
คะแนนเฉลี่ยรวม: 4.1 / 5.0 (คะแนนเท่ากัน! แต่เด่นคนละด้าน)
รวบรวมรีวิวสั้นๆ จากผู้ใช้ Infinix:
“ชาร์จไวคือที่สุดครับ! ใช้ Infinix Note 30 Pro อยู่ ชาร์จไร้สายได้ด้วย สะดวกมาก ลืม Redmi ไปเลยที่ชาร์จ 67W”
– คุณนนท์, อายุ 24, ไรเดอร์
“ซื้อ Infinix Hot 40 มาเล่นเกมครับ ลื่นดีนะ จอใหญ่สะใจ ลำโพงคู่เสียงดังกระหึ่ม ดูหนังมันส์มาก ชอบตรง Bypass Charging นี่แหละ”
– น้องพีท, อายุ 18, นักเรียน
“ดีไซน์สวยมากค่ะ ถือแล้วเพื่อนทักว่ามือถืออะไร สวยจัง นึกว่าเครื่องละ 2-3 หมื่น (ใช้ Note 40 Pro จอโค้ง) ปลื้มมากค่ะ”
– คุณแพรว, อายุ 26, พนักงานต้อนรับ
“กล้องมันสีจัดไปหน่อย ถ่ายคนแล้วผิวอมชมพูแปลกๆ แต่กล้องหน้าสวยดีค่ะ ส่วน UI ก็…โฆษณาเยอะจริง ต้องมานั่งปิด”
– คุณบี, อายุ 30, Youtuber
“ใช้มาปีกว่ายังไม่เจอปัญหาอะไรนะ แต่แอบเซ็งที่เพื่อนใช้ Redmi รุ่นใกล้ๆ กันเขาได้อัปเดต Android ใหม่แล้ว แต่ของเรายังเงียบอยู่เลย”
– คุณโจ, อายุ 29, พนักงานออฟฟิศ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Redmi vs Infinix
ผมรวบรวมคำถามที่คนมักจะสงสัยเวลาต้องเลือก Redmi vs Infinix มาตอบให้หายข้องใจกันตรงนี้เลยครับ

1. Redmi vs Infinix อันไหนทนกว่ากัน?
ถ้าพูดถึง “ความทนทาน” จากวัสดุและงานประกอบ, Redmi มักจะให้ความรู้สึกที่ “แน่นหนา” (Solid) กว่าครับ โดยเฉพาะในรุ่น Note Pro ที่ใช้กระจก Gorilla Glass ทั้งหน้าและหลัง แต่ Infinix รุ่นใหม่ๆ ก็พัฒนาเรื่องงานประกอบขึ้นมาได้ดีมากเช่นกัน สรุปคือ “ทนทาน” ทั้งคู่สำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ Redmi อาจจะให้ความรู้สึก “อุ่นใจ” กว่านิดๆ ครับ
2. ศูนย์บริการ Redmi vs Infinix ใครดีกว่า?
นี่คือจุดสำคัญครับ Redmi (Xiaomi) มีศูนย์บริการ “Xiaomi Service Center” ที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด และยังมีพาร์ทเนอร์ที่รับซ่อมอีกหลายแห่ง ทำให้การส่งซ่อมหรือเคลมประกันทำได้ “สะดวก” กว่าครับ ส่วน Infinix (และ Transsion) ก็มีศูนย์บริการของตัวเอง (Carlcare) แต่จำนวนสาขายัง “น้อยกว่า” มากครับ ส่วนใหญ่จะกระจุกตัวในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ๆ เท่านั้น ตรงนี้ Redmi ชนะในแง่ของความสะดวกสบายครับ
3. ซื้อ Redmi หรือ Infinix ปีนี้ รุ่นไหนดี?
ถ้าเป็นปีนี้, รุ่นที่น่าจับตามองมากๆ ของทั้งสองค่ายก็คือ:
- Redmi: Redmi Note 14 Pro 5G (สำหรับงบหมื่นต้น), Redmi Note 14 5G (สำหรับงบต่ำหมื่น), และ Redmi 14C หรือ Redmi 15C (สำหรับงบประหยัด)
- Infinix: Infinix Note 40 Series (โดยเฉพาะตัว Pro/Pro+) และ Infinix Hot 40 Series ครับ
4. โทรศัพท์ Redmi ดีไหม?
เป็นคำถามกว้างๆ แต่ตอบได้เลยว่า “ดีครับ” โทรศัพท์ Redmi ดีไหม?…ดีในแง่ของ “ความคุ้มค่าที่สมดุล” ครับ คุณจะได้สเปกที่ดี, กล้องที่ไว้ใจได้, และการซัพพอร์ตที่ยาวนานในราคาที่เหมาะสมครับ (อ่าน 5 เหตุผลที่คนเลือก Redmi เพิ่มเติมได้ครับ)
5. สรุป Redmi vs Infinix อะไรดีกว่า?
คำถามโลกแตก! (ฮ่าๆ) ไม่มีใคร “ดีกว่า” 100% ครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณ “ให้ค่า” กับอะไร:
- ถ้าคุณให้ค่ากับ ความเร็วชาร์จ, ดีไซน์ที่โดดเด่น, และฟีเจอร์ล้ำๆ (อย่างชาร์จไร้สาย)… Infinix ดีกว่าครับ
- ถ้าคุณให้ค่ากับ ความเสถียร, กล้องที่ดี, การอัปเดตยาวๆ, และความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการ… Redmi ดีกว่าครับ
บทสรุป: เลือก Redmi หรือ Infinix ดี? (The Final Verdict)
เดินทางกันมาอย่างยาวนานกับการชำแหละศึก Redmi vs Infinix นะครับ ผมหวังว่าเพื่อนๆ น่าจะได้ข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจกันแบบจุกๆ แล้ว

ถ้าให้ผมฟันธงในฐานะ “เพื่อนแนะนำเพื่อน”, ผมขอสรุปแบบนี้ครับ:
จงเลือก Redmi… ถ้าคุณคือคนที่ “ไม่อยากเสี่ยง”, ชอบความ “ปลอดภัย”, “สมดุล”, และ “ใช้ได้นานๆ” คุณยอมจ่ายเท่ากันเพื่อแลกกับความเสถียร, กล้องที่ดีกว่านิดหน่อย, ศูนย์บริการที่สบายใจกว่า, และการันตีอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ยาวนานกว่า คุณคือคนที่มองหา “ความคุ้มค่าระยะยาว”
จงเลือก Infinix… ถ้าคุณคือคนที่ “ชอบลองของใหม่”, “เบื่อง่าย”, และ “ชอบความหวือหวา” คุณยอม “เสี่ยง” กับซอฟต์แวร์หรือศูนย์บริการที่อาจจะยังไม่เข้าที่ เพื่อแลกกับ “เทคโนโลยี” ที่ล้ำหน้ากว่าชาวบ้านไป 2-3 ปี (โดยเฉพาะการชาร์จ!) ในราคาที่ถูกกว่า คุณคือคนที่มองหา “ความคุ้มค่าณ ปัจจุบัน”
ไม่ว่าจะเลือกค่ายไหน, อย่าลืม คู่มือเลือก Redmi (ซึ่งประยุกต์ใช้กับ Infinix ได้) คือการไป “ลองจับเครื่องจริง” ที่หน้าร้านครับ ความรู้สึกตอนถือ, ความลื่นไหลของ UI, และดีไซน์ที่เห็นด้วยตาตัวเอง, นั่นแหละครับคือคำตอบสุดท้ายที่ดีที่สุด และเมื่อได้มือถือใหม่แล้ว ก็อย่าลืมหา หูฟังบลูทูธไร้สาย ยี่ห้อไหนดี มาใช้คู่กันเพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบนะครับ!
เช็คราคาและโปรโมชั่นล่าสุด (Redmi vs Infinix)
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว หรือถ้ายังลังเล, ลองกดเข้าไปดูราคาและโปรโมชั่นล่าสุดของทั้งสองแบรนด์ได้เลยครับ บางทีโปรโมชั่นดีๆ อาจจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น!
Redmi Official Store (ราคาประมาณ ฿2,500 – ฿14,990 ขึ้นอยู่กับรุ่น)
Infinix Official Store (ราคาประมาณ ฿2,300 – ฿12,990 ขึ้นอยู่กับรุ่น)
หมายเหตุจากผู้เขียน:
- รายละเอียดเรื่องสเปก, ฟีเจอร์, ราคา, หรือการรับประกัน ควรตรวจสอบเพิ่มเติมจาก Redmi (Xiaomi) ประเทศไทย, Infinix ประเทศไทย หรือเว็บไซต์ตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการของแต่ละแบรนด์ด้วยครับ
- บทความนี้เขียนขึ้นอย่างเป็นกลาง ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือชี้นำครับจากแบรนด์ใด ๆ จุดประสงค์คือเพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากที่สุดในการเปรียบเทียบ Redmi vs Infinix หากกดลิงก์เพื่อตรวจสอบราคา เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นเพียงเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนการทำงานและพัฒนาเว็บไซต์ของเรา แต่รับรองได้ว่าจะไม่กระทบต่อการจัดอันดับหรือคำแนะนำสินค้าแน่นอนครับ ทั้งนี้สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน นโยบายความเป็นส่วนตัว
- บทความนี้จัดทำโดยใช้ AI ช่วยในการรวบรวมและเรียบเรียงข้อมูลจากหลายแหล่งที่น่าเชื่อถือ (เช่น GSMArena, Wikipedia, และเว็บรีวิวชั้นนำ) อย่างไรก็ตาม หากมีข้อคลาดเคลื่อน แนะนำให้ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมจากผู้ผลิตหรือร้านค้าโดยตรง ทั้งนี้ข้อมูลในบทความอ้างอิงจากสเปกและข่าวสารช่วงล่าสุด ซึ่งคุณสมบัติหรือราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตครับ
- บางภาพในบทความนี้นำมาจากเว็บไซต์ทางการของแบรนด์ และเว็บไซต์ผู้จัดจำหน่าย เพื่อใช้ประกอบการรีวิวและช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพสินค้าชัดเจนยิ่งขึ้นเท่านั้น
- คะแนน (เช่น 4.1/5.0) เป็นการประเมินโดยทีมงาน ToplistPlus อ้างอิงจากสเปก, ฟีเจอร์, ราคา, และรีวิวผู้ใช้จริงจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้เห็น “ภาพรวม” ของแบรนด์ ไม่ใช่การตัดสินรุ่นใดรุ่นหนึ่งครับ
- รวบรวมรีวิวสั้น ๆ จากผู้ใช้งาน (เช่น “คุณเอ็กซ์, อายุ 28” หรือ “คุณแพรว, อายุ 26”) เป็นตัวอย่างสมมุติที่ได้จากการรวบรวมข้อมูลและรีวิวจากผู้ใช้จริงหลายๆ ท่าน มาเรียบเรียงใหม่เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพเท่านั้น ไม่ใช่การอ้างอิงบุคคลจริงครับ
