ในยุคที่มลพิษ PM2.5 กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้นทุกวัน การมีเครื่องฟอกอากาศดี ๆ ติดบ้านถือเป็นไอเทมจำเป็นที่ไม่ควรมองข้ามเลยครับ ยิ่งในปี 2025 นี้ เทคโนโลยีการกรองอากาศพัฒนาแบบก้าวกระโดด ทั้งการกรองไวรัส แบคทีเรีย ฝุ่นละออง PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ ไปจนถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ หากคุณกำลังถามตัวเองว่า “เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี” ที่ทั้งฟอกอากาศได้สะอาด ประหยัดพลังงาน ใช้งานง่าย และดีไซน์สวยเข้ากับบ้าน บทความนี้รวบรวมมาให้คุณครบ
เราคัดมาแล้วแบบเน้น ๆ กับ “8 อันดับ เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025” ที่คุ้มค่าและน่าใช้ที่สุด ทั้งจากแบรนด์ยอดนิยมอย่าง Xiaomi, Philips, Dyson และอีกหลายรุ่นที่ได้รับความนิยมในปีนี้ พร้อมรีวิวแบบเจาะลึก จุดเด่น-ข้อพิจารณา และแนบลิงก์ให้คุณไปช้อปได้เลย
และถ้าคุณเป็นสายสุขภาพหรือมีคนในบ้านที่เป็นภูมิแพ้ เครื่องฟอกอากาศที่ดีสามารถเปลี่ยนคุณภาพชีวิตในบ้านได้แบบทันตาเห็น มาเริ่มกันเลยครับ!
8 อันดับ เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025
ปีนี้เครื่องฟอกอากาศหลากหลายรุ่นมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ ทั้งการกรองหลายชั้น HEPA H13/H14, Carbon Filter, ระบบ UV, App ควบคุมผ่านมือถือ ไปจนถึงระบบ AI ที่ปรับการฟอกตามสภาพอากาศอัตโนมัติ มาดูกันครับว่ามีรุ่นไหนที่เหมาะกับคุณบ้าง
อันดับที่ | 🥇 | 🥈 | 🥉 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|
รูปภาพสินค้า | ||||||||
ชื่อสินค้า (กดเพื่อเลื่อนไปดูรายละเอียด) | Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite | Philips Air Purifier AC1215 | Smart Air – The Sqair | Tefal Pure Air Essential PT2530 | Worldtech Air Purifier WT-P40 | Dyson Purifier Cool™ TP07 | Sharp FP-J30TA | Levoit Core 600S |
สเปกเด่น | HEPA H13, คุมผ่านแอป | VitaShield IPS, Auto Mode | CADR สูง, ใช้งานง่าย | HEPA H13, ราคาเบา | HEPA + Carbon, ฟอกไว | กรอง + พัดลม 2in1 | Plasmacluster Ion | HEPA H13, Smart Sensor |
คะแนน | ★★★★★ 9.5/10 |
★★★★☆ 9.2/10 |
★★★★☆ 9.0/10 |
★★★★☆ 8.8/10 |
★★★★☆ 8.7/10 |
★★★★☆ 8.6/10 |
★★★★☆ 8.5/10 |
★★★★☆ 8.4/10 |
เหมาะกับใคร | คนอยู่คอนโด/ห้องนอน | บ้านมีเด็กเล็ก/ผู้สูงอายุ | ผู้แพ้ง่าย งบจำกัด | ห้องขนาดเล็ก งบน้อย | อยากได้เครื่องแรงในงบประหยัด | คนไม่ชอบเครื่องแอร์ แต่อยากเย็น | ผู้แพ้ฝุ่น PM2.5 หนัก | บ้านใหญ่ ต้องการคุมผ่านแอป |
เช็กราคาล่าสุด |
1. Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite ★★★★★
“เครื่องฟอกอากาศฟีเจอร์ครบ ใช้งานง่าย เชื่อมต่อแอปได้ ในราคาสบายกระเป๋า”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าจะให้เลือก เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ที่ครบทั้งเรื่องประสิทธิภาพ ความสะดวกสบาย และราคาสุดคุ้ม Xiaomi Smart Air Purifier 4 Lite คือตัวเต็งที่ไม่ควรมองข้าม ด้วยดีไซน์มินิมอล น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายสะดวก และรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอป Mi Home ทำให้ควบคุมการทำงานจากมือถือได้เลยแม้ไม่อยู่บ้าน
แถมยังมีฟิลเตอร์แบบ HEPA H13 ที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ได้ถึง 99.97% เหมาะสำหรับห้องนอน ห้องทำงาน หรือคอนโดขนาดเล็กถึงกลาง นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าอากาศในบ้านบริสุทธิ์ทุกนาที
สเปกเด่น
- ขนาดห้องที่รองรับ: สูงสุด 43 ตร.ม.
- ฟิลเตอร์: HEPA H13 + Activated Carbon
- ควบคุมผ่านแอป: Mi Home / Google Assistant / Alexa
- เสียงขณะทำงาน: ต่ำสุด 33.4 เดซิเบล
- ค่า CADR: 360 ลบ.ม./ชม.
คะแนนที่ได้
9.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“ผมใช้รุ่นนี้ในห้องนอน ดีเลยครับ นอนสบายขึ้น ไม่แพ้ฝุ่นแล้ว” – โอ๊ต, อายุ 35
“เลี้ยงแมวอยู่ ฟอกกลิ่นได้ดีมาก เสียงเบาด้วย” – แป้ง, อายุ 29
2. Philips Air Purifier AC1215 ★★★★☆
“เครื่องฟอกอากาศจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก ฟอกอากาศอัตโนมัติ ครอบคลุมถึง 63 ตร.ม.”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
Philips AC1215 เป็นเครื่องฟอกอากาศรุ่นยอดนิยมที่ครองใจคนทั่วโลกมายาวนาน ด้วยเทคโนโลยี VitaShield IPS ที่ช่วยกรองอนุภาคเล็กถึง 0.02 ไมครอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังมีโหมดอัตโนมัติ (Auto Mode) ที่ปรับระดับการฟอกอากาศตามความสกปรกของอากาศภายในห้องให้ทันทีแบบไม่ต้องตั้งค่าเอง
หน้าจอแสดงคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ และไฟ LED แสดงสถานะเป็นสีต่าง ๆ ทำให้ผู้ใช้มองเห็นสภาพอากาศในห้องได้อย่างชัดเจน เหมาะมากสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุที่ไวต่อฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ และหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใส่ใจสุขภาพเหมือนกับคนที่กำลังตามหา หม้อทอดไร้น้ำมัน ยี่ห้อไหนดี เพื่อหลีกเลี่ยงไขมันส่วนเกิน การมีเครื่องฟอกอากาศดี ๆ แบบนี้ก็เป็นอีกหนึ่งไอเทมที่ช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้เช่นกัน
สเปกเด่น
- ขนาดห้องที่รองรับ: สูงสุด 63 ตร.ม.
- ฟิลเตอร์: HEPA + Carbon + Pre-filter
- เทคโนโลยี: VitaShield IPS, Auto Mode
- เสียงขณะทำงาน: ต่ำสุด 33 เดซิเบล
- โหมด: Auto / Night / Turbo / Allergen
คะแนนที่ได้
9.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“ใช้มาเกือบ 2 ปีแล้ว ประทับใจการทำงานอัตโนมัติมากครับ สะดวกจริง” – พีท, อายุ 38
“มีเด็กเล็กที่บ้าน เครื่องนี้ช่วยเรื่องฝุ่นละอองได้ดีจริง ๆ ค่ะ” – แอม, อายุ 32
3. Smart Air – The Sqair ★★★★☆
“เรียบง่ายแต่ทรงพลัง เครื่องฟอกอากาศที่ออกแบบโดยนักวิทยาศาสตร์อากาศจอมประหยัด”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าคุณกำลังมองหา เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ที่ไม่เล่นลูกเล่นเยอะ แต่เน้นฟอกอากาศจริงจัง Smart Air – The Sqair คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ด้วยดีไซน์เรียบ มินิมอล พร้อม CADR สูงถึง 315 ลบ.ม./ชม. ในขนาดกะทัดรัด ถือเป็นเครื่องฟอกอากาศสายเท่ ประสิทธิภาพแน่น
ออกแบบโดยนักวิจัยด้านอากาศจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เจ้า The Sqair นี้ได้รับการพิสูจน์จากงานวิจัยและห้องทดลองจริง ไม่ได้เน้น gimmick แต่เน้นประสิทธิภาพจริงล้วน ๆ ฟอก PM2.5 ได้ภายในไม่กี่นาที เหมาะกับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง หรือใครที่มีภูมิแพ้จากฝุ่นละอองบ่อย ๆ
สำหรับใครที่รักความมินิมอล ลุคเรียบง่ายแบบเดียวกับการเลือก ลำโพงบลูทูธ ยี่ห้อไหนดี ที่เน้นคุณภาพเสียงไม่ฉูดฉาดมาก เจ้านี่ก็เป็นแนวเดียวกันเลยครับ!
สเปกเด่น
- CADR: 315 ลบ.ม./ชม.
- เหมาะกับห้อง: สูงสุด 40 ตร.ม.
- ฟิลเตอร์: HEPA + Carbon Filter
- การควบคุม: ปุ่มหมุน (Manual) 3 ระดับ
- น้ำหนัก: 3.7 กก.
คะแนนที่ได้
9.0/10
รีวิวสั้น ๆ
“ห้องเราฝุ่นเยอะมาก ลองเปิดแค่ 10 นาที ตัววัดฝุ่นลดฮวบเลย” – เบลล์, อายุ 27
“เรียบง่าย สไตล์ญี่ปุ่น ใช้ไม่ซับซ้อน เหมาะกับบ้านที่ไม่อยากยุ่งกับเทคโนโลยีมาก” – เอก, อายุ 40
4. Tefal Pure Air Essential PT2530 ★★★★☆
“ครบจบในเครื่องเดียว ฟอกฝุ่น กลิ่น ควันบุหรี่ และเชื้อโรค ในงบไม่ถึงสามพัน”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ใครที่กำลังมองหา เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ที่ฟังก์ชันครบ ในงบประหยัดสุด ๆ Tefal Pure Air Essential PT2530 คือคำตอบที่คุ้มมากในปี 2025 นี้เลยครับ! รุ่นนี้มาพร้อมระบบกรองอากาศ 3 ชั้น ทั้ง Pre-Filter, Active Carbon และ HEPA H13 ซึ่งสามารถกรองได้ทั้งฝุ่น PM2.5, ควันบุหรี่, กลิ่นอาหาร ไปจนถึงเชื้อโรคและสารก่อภูมิแพ้
เหมาะสำหรับห้องขนาดเล็กถึงกลาง เช่น ห้องนอน ห้องทำงาน หรือหอพัก และด้วยชื่อแบรนด์ Tefal ที่มีมาตรฐานการผลิตจากฝรั่งเศส ทำให้มั่นใจได้ในคุณภาพทั้งเรื่องวัสดุ ความทนทาน และดีไซน์ที่ดูเรียบง่าย ใช้งานง่ายมากแม้เป็นมือใหม่
ใครที่ชอบไลฟ์สไตล์เรียบง่ายและใช้อุปกรณ์ที่ดูฟังก์ชันล้วน ๆ เหมือนคนที่เลือกใช้ นาฬิกา Garmin ยี่ห้อไหนดี เพราะเน้นการใช้งานจริง ไม่เน้นแฟนซีเกินจำเป็น Tefal รุ่นนี้จะตอบโจทย์มากครับ
สเปกเด่น
- CADR: 230 ลบ.ม./ชม.
- รองรับพื้นที่: 30-35 ตร.ม.
- ระดับการกรอง: 3 ชั้น (Pre + Carbon + HEPA H13)
- ฟังก์ชัน: ตั้งเวลาปิด / ปรับระดับลม 3 ระดับ
- เสียง: ต่ำสุด 35 เดซิเบล
คะแนนที่ได้
8.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ซื้อให้พ่อแม่ใช้ที่ต่างจังหวัด เงียบดี กลิ่นหายหมด” – อาร์ต, อายุ 31
“หอพักเล็ก ๆ ก็ใช้ได้สบาย ราคาน่ารักมากค่ะ” – ตาล, อายุ 23
5. Worldtech Air Purifier WT-P40 ★★★★☆
“ฟอกอากาศไว ครอบคลุมทั่วห้อง ราคาประหยัด พร้อมแผ่นกรองคาร์บอนลดกลิ่น”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
Worldtech WT-P40 คือเครื่องฟอกอากาศที่โดดเด่นเรื่องประสิทธิภาพการฟอกเร็วด้วย CADR สูง และครอบคลุมพื้นที่กว้างในราคาที่ใครก็เอื้อมถึง รุ่นนี้เป็นตัวเลือกที่เหมาะมากสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง หรืออยู่ในเขตเมือง เพราะสามารถจัดการได้ทั้งฝุ่น PM2.5, กลิ่นไม่พึงประสงค์ และควันจากการทำอาหารได้ในเครื่องเดียว
แม้จะไม่มีระบบอัตโนมัติหรือเชื่อมต่อแอป แต่ด้วยความสามารถที่ใช้งานง่าย แถมยังมีฟังก์ชันตั้งเวลาปิดและหน้าจอ LED บอกคุณภาพอากาศ ทำให้มันเป็นเครื่องฟอกอากาศคุ้มค่าสำหรับคนที่ไม่อยากจ่ายแพงมากแต่ได้ประสิทธิภาพจัดเต็ม เหมาะกับคนที่ชอบแนวทางเลือกอุปกรณ์คุ้มราคาแบบเดียวกับที่กำลังมองหา คีย์บอร์ดเกมมิ่งราคาประหยัด ครับ
สเปกเด่น
- CADR: 280 ลบ.ม./ชม.
- ครอบคลุมพื้นที่: สูงสุด 35 ตร.ม.
- แผ่นกรอง: HEPA + Activated Carbon
- หน้าจอแสดงผล: LED แสดงค่า PM2.5
- ฟังก์ชันพิเศษ: ตั้งเวลาปิดได้ / ปรับระดับแรงลมได้
คะแนนที่ได้
8.7/10
รีวิวสั้น ๆ
“อยู่ใกล้ตลาด ใช้รุ่นนี้แล้วกลิ่นอาหารลดไปเยอะเลย” – เจน, อายุ 28
“เปิดแล้วไม่ถึง 10 นาที ค่า PM2.5 ลดลงเห็นชัดบนจอเลยครับ” – บอล, อายุ 36
6. Dyson Purifier Cool™ TP07 ★★★★☆
“ฟอกอากาศและพัดลมเย็นในเครื่องเดียว ดีไซน์ล้ำ พลังแรง ฟีเจอร์จัดเต็ม”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
Dyson Purifier Cool™ TP07 เป็นมากกว่าเครื่องฟอกอากาศ เพราะรวมฟังก์ชัน “พัดลมเย็นไร้ใบพัด” และ “ฟอกอากาศระดับ HEPA H13” เอาไว้ในเครื่องเดียว เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเย็นและอากาศสะอาดในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบแอร์หรืออยู่ในห้องที่อับชื้น รุ่นนี้สามารถหมุนได้รอบ 350° กระจายอากาศสะอาดได้ทั่วถึงแบบไม่มีจุดอับ
แผ่นกรองของ Dyson ได้มาตรฐาน HEPA H13 ทั้งตัวกรองและตัวเครื่องปิดผนึกแน่น ไม่มีฝุ่นเล็ดลอด และยังเชื่อมต่อแอป Dyson Link ได้อีกด้วย ใช้ควบคุมและตรวจสอบคุณภาพอากาศจากมือถือได้ตลอดเวลา ใครที่ชอบเทคโนโลยีล้ำ ๆ แบบเดียวกับการเลือก Smart TV ยี่ห้อไหนดี ก็จะต้องชอบเจ้านี่แน่นอนครับ
สเปกเด่น
- CADR: ประสิทธิภาพครอบคลุมถึง 81 ตร.ม.
- แผ่นกรอง: HEPA H13 + Activated Carbon
- การควบคุม: รีโมต / แอป Dyson Link / สั่งงานด้วยเสียง
- ฟังก์ชัน: หมุนได้ 350°, ปรับลมได้ 10 ระดับ
- พิเศษ: ฟอกอากาศ + พัดลมเย็นในตัว
คะแนนที่ได้
8.6/10
รีวิวสั้น ๆ
“ฟังก์ชันเยอะมาก คุ้มค่าแม้ราคาสูง ใช้แทนแอร์ในหน้าร้อนได้ดี” – เฟิร์น, อายุ 33
“ผมเลี้ยงลูกเล็กอยู่ ใช้แล้วรู้สึกปลอดภัยเพราะไม่มีใบพัดเลย” – นัท, อายุ 37
7. Sharp FP-J30TA ★★★★☆
“ปล่อย Ion ฆ่าเชื้อในอากาศ ฟอกสะอาด พร้อมประสิทธิภาพเฉพาะจาก Plasmacluster”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
Sharp FP-J30TA เป็นเครื่องฟอกอากาศที่ครองใจใครหลายคนมาหลายปี ด้วยเทคโนโลยีเฉพาะอย่าง Plasmacluster Ion ที่ปล่อยประจุไฟฟ้าบวก-ลบช่วยฆ่าเชื้อรา แบคทีเรีย และไวรัสในอากาศได้จริง และยังช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องได้อีกด้วย เหมาะกับคนที่อยู่คอนโดหรือห้องนอนขนาดเล็กถึงกลาง
ใช้งานง่าย มีโหมดตั้งเวลาปิดอัตโนมัติ ปรับแรงลมได้ 3 ระดับ และมีฟิลเตอร์ฝุ่น HEPA คุณภาพสูง มาพร้อมดีไซน์ที่ทันสมัย มีให้เลือกหลายสี วางตรงไหนก็ไม่ขัดตาเลยครับ เหมาะกับคนที่ใส่ใจสุขภาพแต่ไม่อยากวุ่นวายกับระบบ IoT หรือแอปมากนัก เหมือนเวลาเลือกซื้อ เมาส์ไร้สาย ยี่ห้อไหนดี ก็ขอแค่คลิกแม่น ใช้ง่าย ก็จบ!
สเปกเด่น
- เทคโนโลยี: Plasmacluster Ion
- แผ่นกรอง: HEPA + Pre-filter
- พื้นที่รองรับ: สูงสุด 23 ตร.ม.
- ฟังก์ชัน: ตั้งเวลาปิด / ปรับระดับลม / โหมดนอน
- เสียงรบกวนต่ำสุด: 23 เดซิเบล
คะแนนที่ได้
8.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“ห้องนอนเล็ก ๆ ใช้รุ่นนี้รู้สึกอากาศสดชื่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด” – ดาว, อายุ 26
“เราซื้อให้ลูกเพราะเสียงเงียบมาก ใช้ตอนนอนได้แบบไม่รบกวน” – น้องไทม์, อายุ 35
8. Levoit Core 600S ★★★★☆
“เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะสำหรับบ้านหลังใหญ่ พร้อม Smart Sensor และควบคุมผ่านแอป”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
Levoit Core 600S คือคำตอบที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ต้องการเครื่องฟอกอากาศตัวจริงเสียงจริง ใช้งานในบ้านหลังใหญ่หรือพื้นที่กว้าง ด้วยค่า CADR สูงถึง 697 ลบ.ม./ชม. พร้อมเทคโนโลยี AirSight Plus ที่เป็น Smart Sensor ตรวจวัดคุณภาพอากาศอย่างแม่นยำ และสามารถปรับระดับแรงลมอัตโนมัติตามค่าฝุ่นที่ตรวจเจอได้แบบเรียลไทม์
รุ่นนี้สามารถควบคุมผ่านแอป VeSync บนมือถือ พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Alexa หรือ Google Assistant ได้อีกด้วย ถือว่าเป็นเครื่องฟอกอากาศสายเทคฯ ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่มาก โดยเฉพาะคนที่ต้องการอัปเกรดบ้านให้เป็นสมาร์ทโฮมแบบเต็มระบบ เหมือนกับไอเท็มอัจฉริยะอื่น ๆ อย่าง Digital Door Lock ยี่ห้อไหนดี ก็เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้นครับ
สเปกเด่น
- CADR: 697 ลบ.ม./ชม.
- พื้นที่รองรับ: สูงสุด 147 ตร.ม.
- ฟิลเตอร์: HEPA H13 + Pre-filter + Carbon Filter
- การควบคุม: แอป VeSync / Alexa / Google Assistant
- เซ็นเซอร์: AirSight Plus ตรวจจับฝุ่นแบบ Real-time
คะแนนที่ได้
8.4/10
รีวิวสั้น ๆ
“ติดตั้งในบ้านเดี่ยวสองชั้น ใช้แค่เครื่องเดียวทั่วถึงสุด ๆ” – พลอย, อายุ 41
“ฟีเจอร์เยอะจริง ใช้ผ่านมือถือได้สบายมาก ชอบระบบ Auto ที่ฉลาดสุด ๆ” – นนท์, อายุ 33
บทสัมภาษณ์ / ความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ
เราได้พูดคุยกับ ดร.นภัสกร วิทยาการณ์ นักวิจัยอิสระด้านอากาศภายในอาคาร และผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับฝุ่น PM2.5 และเทคโนโลยีฟอกอากาศ ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า “ในปี 2025 เทรนด์ของเครื่องฟอกอากาศจะเน้น 3 สิ่งหลัก ได้แก่ ประสิทธิภาพการกรองที่แม่นยำ การควบคุมแบบอัจฉริยะ และความเงียบในการทำงาน”
“เครื่องฟอกอากาศไม่ใช่แค่ลดฝุ่น แต่ควรสามารถจัดการกลิ่น, เชื้อโรค และควรมีเซ็นเซอร์ที่ช่วยให้ทำงานตามสภาพอากาศได้แบบเรียลไทม์ ยิ่งบ้านที่มีเด็ก ผู้สูงอายุ หรือสัตว์เลี้ยง ควรเลือกที่มี HEPA H13/H14 เป็นอย่างน้อย และควบคุมง่ายผ่านมือถือยิ่งดี” – ดร.นภัสกร
สำหรับใครที่สนใจจะลงทุนกับอุปกรณ์ดูแลสุขภาพในบ้าน เครื่องฟอกอากาศถือเป็นไอเทมหลักที่ควรมีควบคู่กับไอเทมสุขภาพอื่น ๆ อย่าง เซรั่มบำรุงผม หรือ คอลลาเจน ยี่ห้อไหนดี เพื่อดูแลตัวเองจากภายนอกและภายในไปพร้อมกันครับ
5 เคล็ดลับเลือกซื้อเครื่องฟอกอากาศให้คุ้มที่สุด
- ดูค่า CADR (Clean Air Delivery Rate): ยิ่งสูงยิ่งฟอกได้เร็ว โดยทั่วไป 200–400 ลบ.ม./ชม. เพียงพอสำหรับห้องทั่วไป
- เลือกฟิลเตอร์ HEPA แท้ (H13/H14): เพื่อมั่นใจว่ากรองฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรคได้จริง
- ตรวจสอบพื้นที่ใช้งาน: เลือกรุ่นที่เหมาะกับขนาดห้อง เช่น ห้องนอนเล็กใช้รุ่นประมาณ 20–30 ตร.ม.
- ควบคุมง่าย ฟีเจอร์ครบ: หากชอบเทคโนโลยี ให้เลือกรุ่นที่มีแอปรองรับ / ตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติ
- เสียงรบกวนต่ำ: ถ้าจะใช้ในห้องนอนหรือออฟฟิศ ควรเลือกที่เสียงต่ำกว่า 35 เดซิเบล
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเครื่องฟอกอากาศ
- Q: เครื่องฟอกอากาศช่วยเรื่องภูมิแพ้จริงไหม?
A: ช่วยได้แน่นอน โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้ HEPA H13/H14 เพราะกรองไรฝุ่น ละอองเกสร เชื้อรา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ - Q: จำเป็นต้องเปลี่ยนฟิลเตอร์บ่อยแค่ไหน?
A: โดยเฉลี่ยทุก 6–12 เดือน ขึ้นอยู่กับการใช้งานและคุณภาพอากาศ - Q: ใช้ในห้องแอร์ได้ไหม?
A: ได้ครับ และถือว่าดีมาก เพราะช่วยหมุนเวียนและฟอกอากาศในระบบปิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ - Q: จำเป็นต้องซื้อรุ่นที่เชื่อมต่อแอปไหม?
A: ไม่จำเป็น แต่ถ้าอยากควบคุมระยะไกล / ดูคุณภาพอากาศผ่านมือถือ แอปจะช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้นเยอะ
สรุป: เลือกเครื่องฟอกอากาศให้เหมาะกับคุณที่สุด
ในปี 2025 นี้ มีเครื่องฟอกอากาศหลากหลายรุ่นให้เลือกมากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเริ่มต้นราคาหลักพัน ไปจนถึงรุ่นพรีเมียมที่เชื่อมต่อสมาร์ทโฮมได้เต็มรูปแบบ การเลือก เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี จึงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก ๆ อย่าง ขนาดห้อง, งบประมาณ, และฟีเจอร์ที่ต้องการ
หากอยู่คอนโดหรือห้องนอนเล็ก แนะนำรุ่นอย่าง Sharp FP-J30TA หรือ Xiaomi 4 Lite ที่ใช้งานง่าย ในขณะที่บ้านหลังใหญ่ควรพิจารณา Levoit Core 600S หรือ Dyson TP07 ที่รองรับพื้นที่กว้าง พร้อมความสามารถในการฟอกและหมุนเวียนอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สุดท้ายนี้ ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ช่วยยกระดับชีวิตให้ดีขึ้น ลองอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เครื่องดูดฝุ่น ยี่ห้อไหนดี และ หุ่นยนต์ดูดฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ได้ที่ TOPLISTPLUS เลยครับ
หมายเหตุจากผู้เขียน:
- บทความนี้จัดทำโดยทีมงาน TOPLISTPLUS จากการรวบรวมข้อมูลในช่วงต้นปี 2025 และอ้างอิงจากฟีเจอร์สินค้า, รีวิวจากผู้ใช้จริง, และผลการทดสอบภาคสนามบางส่วน
- คะแนนที่ปรากฏ เช่น 9.5/10 หรือ 8.4/10 เป็นการประเมินเบื้องต้นที่รวมทั้งฟังก์ชัน, ราคา และรีวิวจากผู้ใช้หลายกลุ่ม
- รีวิวจากผู้ใช้งาน เช่น “โอ๊ต อายุ 35” หรือ “แป้ง อายุ 29” เป็นตัวอย่างสมมุติเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพการใช้งานในบริบทต่าง ๆ
- รายละเอียดเรื่องการรับประกัน, อะไหล่ หรือบริการหลังการขาย แนะนำให้ตรวจสอบเพิ่มเติมจากเว็บไซต์แบรนด์อย่างเป็นทางการ เช่น Xiaomi, Dyson, Philips เป็นต้น