บทนำ
สวัสดีครับเพื่อนๆ ชาวคอกาแฟทุกคน! ใครที่ตื่นเช้ามาแล้วต้องจัดกาแฟหอมๆ สักแก้วเพื่อปลุกพลังให้พร้อมลุยตลอดวันบ้างครับ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน และเชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอปัญหาเดียวกันคือ อยากมีกาแฟดีๆ ดื่มที่บ้านทุกวัน แต่พอจะเริ่มหาข้อมูลก็ตาลายไปหมด ไม่รู้จะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราจริงๆ บางคนชอบความง่าย กดปุ่มเดียวจบ บางคนเป็นสายคราฟต์ ชอบปรับจูนรสชาติเอง หรือบางคนอาจจะอยากได้เครื่องที่ทำได้ทั้งกาแฟดำและลาเต้ฟองนมนุ่มๆ การเลือกเครื่องที่ใช่เลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดหนักเลยใช่ไหมครับ
วันนี้ผมเลยขอสวมบทบาทเป็นเพื่อนซี้ที่รักกาแฟเหมือนกัน มาช่วยเพื่อนๆ ตัดสินใจกันครับ ผมได้รวบรวมข้อมูล, รีวิวจากผู้ใช้จริง, และประสบการณ์ตรง คัดเอา 10 สุดยอดเครื่องชงกาแฟแห่งปี 2025 มาให้ดูกันแบบเจาะลึกทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่เครื่องชงกาแฟแคปซูลที่ใช้ง่ายสุดๆ ไปจนถึงเครื่องชงแบบกึ่งอัตโนมัติ (Semi-Automatic) สำหรับสายบาริสต้าฝึกหัดที่อยากสกัดช็อตเอสเปรสโซ่ด้วยตัวเอง บทความนี้จะพาไปดูกันว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่เหมาะกับคุณที่สุด ไม่ว่าคุณจะมีงบเท่าไหร่ หรือมีพื้นที่ในครัวจำกัดแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ ระหว่างอ่านรีวิว ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ในครัว อย่าง หม้อทอดไร้น้ำมัน หรือ ไมโครเวฟ ก็สามารถคลิกไปดูรีวิวอื่นๆ ของเราได้เลยนะครับ รับรองว่าเลือกมาแต่ตัวเด็ดๆ ทั้งนั้น
เพื่อให้เห็นภาพรวมกันก่อนตัดสินใจ ผมได้ทำตารางเปรียบเทียบสเปกเด่นๆ ของแต่ละรุ่นมาให้ดูกันก่อนด้วย จะได้รู้ว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่มีฟังก์ชันตรงใจเรามากที่สุด แล้วหลังจากนั้นเราจะไปเจาะลึกรีวิวทีละตัวกันแบบละเอียดยิบ ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลยครับว่าเครื่องชงกาแฟในฝันของเพื่อนๆ จะเป็นรุ่นไหน!
จัดอันดับ 10 เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025
สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังร้อนใจอยากรู้แล้วว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่น่าโดนที่สุดในปีนี้ ลองดูตารางเปรียบเทียบที่เราสรุปมาให้เห็นภาพรวมกันก่อนได้เลยครับ ตารางนี้จะช่วยให้เพื่อนๆ เห็นความแตกต่างของแต่ละรุ่นได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะเลื่อนลงไปอ่านรีวิวฉบับเต็มที่เราจัดมาให้แบบจุกๆ ครับ
ตารางเปรียบเทียบสรุป
1. Breville Barista Express Impress ★★★★★
“เปลี่ยนบ้านให้เป็นคาเฟ่! สุดยอดเครื่องชงกาแฟสำหรับ Home Barista ที่อยากได้ช็อตเอสเปรสโซ่สมบูรณ์แบบทุกครั้ง”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่จริงจังกับกาแฟ และกำลังมองหา เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ให้ฟีลเหมือนเป็นบาริสต้ามืออาชีพอยู่ในคาเฟ่ของตัวเอง ผมบอกเลยว่า Breville Barista Express Impress คือคำตอบสุดท้ายครับ รุ่นนี้คือการอัปเกรดที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนรักกาแฟที่อยากก้าวข้ามจากเครื่องอัตโนมัติง่ายๆ มาสู่โลกของการสกัดกาแฟที่ควบคุมได้ทุกขั้นตอน แต่ก็ยังคงความง่ายและสะดวกสบายด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำอย่าง Impress™ Puck System ที่ช่วยแก้ปัญหาเรื่องการโดสและแทมป์กาแฟให้เป๊ะทุกครั้ง ทำให้มือใหม่ก็สามารถสกัดช็อตเอสเปรสโซ่ที่สมบูรณ์แบบได้ไม่ยากเลยครับ
สเปกเด่น
- ระบบทำความร้อน: Thermocoil พร้อม PID Temperature Control
- แรงดัน: ปั๊ม 9 บาร์ จากอิตาลี
- เครื่องบดในตัว: เฟืองบดสแตนเลส ปรับความละเอียดได้ 25 ระดับ
- ระบบแทมป์: Impress™ Puck System ช่วยโดสและแทมป์อัตโนมัติด้วยแรง 10 กก.
- ก้านสตรีม: พลังไอน้ำสูง สตรีมฟองนมละเอียดระดับ Latte Art
- ความจุแทงก์น้ำ: 2 ลิตร
- ความจุโถบดเมล็ด: 250 กรัม
รีวิวแบบเจาะลึก
หัวใจสำคัญของ Breville Barista Express Impress ที่ทำให้มันโดดเด่นกว่าใครคือ “Impress™ Puck System” ครับ ระบบนี้คือผู้ช่วยอัจฉริยะที่เข้ามาแก้ปัญหาคลาสสิกของ Home Barista นั่นคือการโดส (ตวง) และการแทมป์ (กด) กาแฟให้ได้มาตรฐานเท่ากันทุกครั้ง หลังจากที่เครื่องบดเมล็ดกาแฟลงในก้านชง (Portafilter) แล้ว เราแค่ดึงคันโยกด้านข้างลงมาเบาๆ ตัวเครื่องจะทำการแทมป์กาแฟให้เราด้วยแรงกดที่สม่ำเสมอถึง 10 กิโลกรัม พร้อมหมุนบิดเล็กน้อยเพื่อเกลี่ยผิวหน้ากาแฟให้เรียบเนียน (Barista Twist) จากนั้นระบบจะวัดความสูงของผงกาแฟและแสดงผลผ่านไฟ LED ว่าปริมาณพอดี, น้อยไป หรือมากไป ถ้ายังไม่พอดี เราก็แค่บดเพิ่มแล้วแทมป์อีกครั้ง ระบบก็จะจำปริมาณที่เหมาะสมไว้สำหรับการชงครั้งต่อไป ทำให้เราไม่ต้องเดาสุ่มอีกต่อไปว่าจะต้องใช้กาแฟเท่าไหร่ถึงจะดี นี่คือฟีเจอร์ที่ตอบคำถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับคนที่อยากได้ความแม่นยำแต่ไม่อยากยุ่งยากได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยครับ มันทำให้กระบวนการที่เคยซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้นเยอะ
นอกจากการแทมป์ที่แม่นยำแล้ว คุณภาพของการสกัดก็เป็นเรื่องที่ Breville ไม่เคยประนีประนอมครับ รุ่นนี้ใช้ระบบทำความร้อน Thermocoil ที่ควบคุมอุณหภูมิด้วยระบบ PID แบบดิจิทัล ทำให้มั่นใจได้ว่าน้ำที่ไหลผ่านกาแฟจะมีอุณหภูมิที่คงที่และเหมาะสมที่สุด (ประมาณ 93°C) ตลอดการสกัด ควบคู่ไปกับระบบ Pre-infusion หรือการพรมน้ำแรงดันต่ำในช่วงแรก เพื่อให้ผงกาแฟคลายตัวและสกัดรสชาติออกมาได้อย่างเต็มที่ ก่อนจะเพิ่มแรงดันขึ้นเป็น 9 บาร์ตามมาตรฐานของอิตาลี ผลลัพธ์ที่ได้คือช็อตเอสเปรสโซ่ที่มีเครม่า (Crema) สีทองสวยงาม บอดี้แน่น และรสชาติที่ซับซ้อน กลมกล่อม ไม่ว่าจะใช้เมล็ดคั่วกลางหรือคั่วเข้ม ส่วนใครที่เป็นสายกาแฟนม ก้านสตรีมของรุ่นนี้ก็ทรงพลังไม่แพ้เครื่องในร้านกาแฟเลยครับ สามารถสตรีมนมให้เกิดฟองละเอียด (Microfoam) ที่เนียนนุ่ม เหมาะสำหรับการเทลาเต้อาร์ตสวยๆ ได้สบายๆ ทำให้ทุกเช้าของคุณเหมือนมีบาริสต้าส่วนตัวมาชงกาแฟให้ดื่มเลยทีเดียวครับ
คะแนนที่ได้
9.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ตอนแรกกลัวว่าจะใช้ยาก แต่ระบบ Impress ทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ กาแฟอร่อยเหมือนร้านดังๆ เลย” – พลอย, อายุ 34
“คุ้มค่ากับการลงทุนมากครับ ได้ทดลองปรับสูตรกาแฟเองสนุกมาก ก้านสตรีมนมคือดีสุดๆ” – ท็อป, อายุ 40
2. BENO Piccolo ★★★★★
“เล็กพริกขี้หนู! ดีไซน์มินิมอล แรงดัน 20 บาร์ สกัดกาแฟเข้มข้นถึงใจในพื้นที่จำกัด”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับเพื่อนๆ ที่อยู่คอนโดหรือมีพื้นที่ในครัวไม่มากนัก แต่ยังฝันอยากจะมี เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่คุณภาพคับแก้ววางไว้สักเครื่อง ผมขอแนะนำ BENO Piccolo เลยครับ รุ่นนี้เป็นเครื่องชงกาแฟที่พิสูจน์ให้เห็นว่าขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญเสมอไป ด้วยดีไซน์ที่เรียบง่ายสไตล์มินิมอลและขนาดที่กะทัดรัด ทำให้มันสามารถเข้ากับทุกมุมของบ้านได้อย่างลงตัว แต่เห็นเล็กๆ แบบนี้ สเปกภายในกลับไม่ธรรมดาเลยครับ เพราะมาพร้อมกับปั๊มแรงดันสูงถึง 20 บาร์ ซึ่งสูงกว่าเครื่องในระดับราคาเดียวกันหลายๆ รุ่น ทำให้สามารถสกัดรสชาติและอโรม่าของกาแฟออกมาได้อย่างเต็มที่ ได้ช็อตเอสเปรสโซ่ที่เข้มข้นและมีเครม่าสวยงามไม่แพ้เครื่องใหญ่ๆ เลยครับ
คุณสมบัติเด่น
- แรงดัน: 20 บาร์
- กำลังไฟ: 1350W
- ระบบทำความร้อน: Fast Heating Thermoblock
- ฟังก์ชัน: ชงกาแฟ, สตรีมนม, ปล่อยน้ำร้อน
- วัสดุ: ตัวเครื่องพลาสติก ABS และสแตนเลส
- ความจุแทงก์น้ำ: 1.5 ลิตร
- อุปกรณ์เสริม: ก้านชงขนาด 51 มม., ถ้วยกรอง 1 และ 2 ช็อต, ช้อนตวง ki แทมเปอร์
รีวิวแบบเจาะลึก
สิ่งที่ทำให้ BENO Piccolo เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคำถามที่ว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี คือความสมดุลที่ลงตัวระหว่างประสิทธิภาพ, ดีไซน์ และราคาครับ แม้ว่ามันจะไม่มีเครื่องบดในตัวเหมือนรุ่นใหญ่อย่าง Breville แต่การมีปั๊มแรงดันสูงถึง 20 บาร์ ถือเป็นจุดขายที่สำคัญมาก เพราะแรงดันที่สูงและเสถียรคือปัจจัยหลักในการสกัดน้ำมันและรสชาติจากกาแฟบดออกมาให้ได้มากที่สุด ผลลัพธ์คือเอสเปรสโซ่ที่มีความเข้มข้น บอดี้แน่น และมีกลิ่นหอมชัดเจน การใช้งานก็ตรงไปตรงมา มีปุ่มให้เลือกใช้งานไม่กี่ปุ่ม คือปุ่มเลือกโหมด (ชงกาแฟ/สตรีมนม) และปุ่มเริ่ม/หยุดทำงาน ทำให้มือใหม่สามารถเรียนรู้และเริ่มต้นชงกาแฟแก้วแรกได้ในเวลาไม่นานเลยครับ เหมาะมากสำหรับคนที่อยากได้กาแฟดีๆ แต่ไม่อยากวุ่นวายกับการตั้งค่าที่ซับซ้อน การมีเครื่องเล็กๆ แบบนี้วางในครัว ทำให้การเริ่มต้นวันใหม่สดใสขึ้นเยอะครับ เหมือนมีคาเฟ่ส่วนตัวเล็กๆ ที่พร้อมเสิร์ฟกาแฟอร่อยๆ ได้ทุกเมื่อ
ในส่วนของฟังก์ชันเสริมอย่างการสตรีมนม BENO Piccolo ก็ทำได้ดีเกินคาดครับ ก้านสตรีมสามารถสร้างฟองนมสำหรับทำคาปูชิโน่หรือลาเต้ได้ แม้อาจจะต้องใช้ทักษะและการฝึกฝนเล็กน้อยเพื่อให้ได้ฟองนมที่เนียนละเอียดระดับไมโครโฟมสำหรับเทลาเต้อาร์ต แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปถือว่าเพียงพอและทำได้ดี ตัวเครื่องใช้ระบบทำความร้อนแบบ Thermoblock ที่ร้อนเร็ว ทำให้ไม่ต้องรอนานหลังเปิดเครื่องก็พร้อมชงได้เลย แทงก์น้ำขนาด 1.5 ลิตรก็ถือว่าใหญ่พอสำหรับการใช้งานในบ้าน ชงได้หลายแก้วติดต่อกันโดยไม่ต้องเติมน้ำบ่อยๆ โดยรวมแล้ว BENO Piccolo คือ เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจทั้งเรื่องรสชาติ, ดีไซน์ และความคุ้มค่าได้อย่างลงตัวที่สุดรุ่นหนึ่งในตลาดตอนนี้เลยครับ
คะแนนที่ได้
9.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบดีไซน์มากค่ะ วางในครัวแล้วสวยเลย เครื่องเล็กแต่ทำกาแฟอร่อยมาก คุ้มราคาจริงๆ” – มิ้นท์, อายุ 28
“แรงดัน 20 บาร์นี่ของจริงเลยครับ สกัดกาแฟออกมาเข้มข้น เครม่าสวยมาก ถูกใจสายกาแฟดำแบบผมเลย” – เจมส์, อายุ 35
3. OXO Brew 8-Cup Coffee Maker ★★★★☆
“มาตรฐาน SCA Gold Cup! สำหรับคนรักกาแฟดริปที่ต้องการรสชาติสมบูรณ์แบบและความสม่ำเสมอทุกแก้ว”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
เปลี่ยนแนวมาที่สายกาแฟดริปกันบ้างนะครับ สำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ได้หลงใหลในเอสเปรสโซ่ช็อตหนักๆ แต่ชื่นชอบรสชาติที่สะอาด ละมุน และซับซ้อนของกาแฟดริป และกำลังตั้งคำถามว่าแล้วถ้าเป็นสายนี้ล่ะ จะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ผมขอชี้เป้าไปที่ OXO Brew 8-Cup Coffee Maker เลยครับ นี่ไม่ใช่แค่เครื่องชงกาแฟดริปธรรมดาๆ ทั่วไป แต่มันเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน “Gold Cup” จากสมาคมกาแฟพิเศษ (SCA – Specialty Coffee Association) ซึ่งเป็นการการันตีว่าทุกขั้นตอนการชง ตั้งแต่อุณหภูมิน้ำไปจนถึงระยะเวลาการสกัด ถูกควบคุมอย่างแม่นยำเพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่ดีที่สุดตามหลักสากล เหมาะสำหรับคนที่อยากดื่มด่ำกับรสชาติแท้ๆ ของเมล็ดกาแฟดีๆ โดยไม่ต้องเสียเวลายืนดริปเองให้เมื่อยมือครับ
คุณสมบัติเด่น
- การรับรอง: SCA Certified Home Brewer
- เทคโนโลยี: BetterBrew™ ควบคุมอุณหภูมิและปริมาณน้ำ
- หัวปล่อยน้ำ: Rainmaker™ Shower Head กระจายน้ำทั่วถึง
- โถกาแฟ: Thermal Carafe สแตนเลส 2 ชั้น เก็บความร้อนได้นาน
- ฟังก์ชัน: ชงได้ทั้งแบบเต็มโถ (8 ถ้วย) และแบบแก้วเดียว (Single-Serve)
- ความปลอดภัย: ระบบตัดไฟอัตโนมัติ
- การทำความสะอาด: มีโหมด Clean แจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาล้างเครื่อง
รีวิวแบบเจาะลึก
ความลับเบื้องหลังรสชาติที่ยอดเยี่ยมของ OXO Brew 8-Cup คือเทคโนโลยี BetterBrew™ ที่ทำงานเหมือนบาริสต้าผู้เชี่ยวชาญครับ ตัวเครื่องจะควบคุมทุกอย่างให้เรา ตั้งแต่การต้มน้ำให้อยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการสกัด (92-96°C) และรักษาอุณหภูมินั้นให้คงที่ตลอดกระบวนการ จากนั้นหัวปล่อยน้ำแบบ Rainmaker™ ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษจะค่อยๆ โปรยน้ำร้อนลงบนกาแฟบดอย่างสม่ำเสมอและทั่วถึง เลียนแบบการดริปด้วยมืออย่างพิถีพิถัน เพื่อให้แน่ใจว่ากาแฟทุกอณูถูกสกัดออกมาอย่างสมบูรณ์ ไม่มีการสกัดน้อยหรือมากเกินไป (Under/Over-extraction) ซึ่งเป็นสาเหตุของกาแฟรสเปรี้ยวหรือขมฝาด กระบวนการทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาที่เหมาะสมตามมาตรฐาน SCA ทำให้ไม่ว่าใครจะมาชง ก็ได้กาแฟรสชาติเยี่ยมเหมือนกันทุกครั้ง นี่แหละครับคือคำตอบของคำว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับสายดริปที่ต้องการความสมบูรณ์แบบและความสม่ำเสมอ
อีกหนึ่งความใส่ใจในรายละเอียดที่ผมชอบมากคือโถใส่กาแฟ (Carafe) ที่เป็นสแตนเลสผนัง 2 ชั้น ช่วยเก็บความร้อนได้ดีเยี่ยมโดยไม่ต้องพึ่งแผ่นความร้อนด้านล่าง ซึ่งแผ่นความร้อนนี่แหละครับคือตัวการที่ทำให้กาแฟที่ชงทิ้งไว้มีรสชาติไหม้และเสียไป แต่สำหรับ OXO Brew กาแฟของคุณจะยังคงร้อนและรสชาติดีไปได้อีกเป็นชั่วโมง นอกจากนี้เครื่องยังมีโหมดชงสำหรับแก้วเดียว (Single-Serve) สำหรับวันที่เราอยากดื่มแค่คนเดียว โดยเครื่องจะปรับปริมาณน้ำและเวลาให้เหมาะสมอัตโนมัติ ความสะดวกสบายนี้ทำให้มันเป็นเครื่องที่เหมาะมากสำหรับบ้านที่มีสมาชิกหลายคนที่มีความต้องการต่างกัน หรือแม้กระทั่งในออฟฟิศเล็กๆ ที่อยากจะมีกาแฟดีๆ ไว้บริการพนักงาน การดูแลรักษาก็ง่ายดายเพราะมีไฟแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องล้างทำความสะอาด (Descale) ทำให้ OXO Brew 8-Cup เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับคนรักกาแฟดริปอย่างแท้จริงครับ
คะแนนที่ได้
9.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“กาแฟรสชาติดีมากจริงๆ ค่ะ สะอาด ไม่ขมเลย สมกับที่ได้รางวัล SCA มาเลย” – แอน, อายุ 42
“ใช้ง่ายมาก แค่ตวงกาแฟ เติมน้ำ กดปุ่ม จบเลย โถเก็บความร้อนก็ดีมาก กาแฟร้อนนานดีครับ” – เอก, อายุ 38
4. De’Longhi La Specialista Arte ★★★★☆
“ศิลปะแห่งกาแฟจากอิตาลี! แม่นยำทุกขั้นตอนตั้งแต่การบดจนถึงการสตรีมนม”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้า Breville คือตัวแทนจากออสเตรเลีย De’Longhi ก็คือเจ้าพ่อ เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี จากอิตาลี ดินแดนต้นกำเนิดของเอสเปรสโซ่ครับ และ De’Longhi La Specialista Arte (EC9255.M) ก็คือเครื่องที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ รุ่นนี้ถูกออกแบบมาสำหรับคนที่หลงใหลในศิลปะการชงกาแฟ ต้องการควบคุมทุกตัวแปรเพื่อสร้างสรรค์กาแฟแก้วโปรดในแบบของตัวเอง แต่ก็ยังต้องการเทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้กระบวนการนั้นง่ายและแม่นยำขึ้น La Specialista Arte มาพร้อมกับฟังก์ชันระดับโปรในขนาดที่เหมาะกับบ้าน ตั้งแต่เครื่องบดคุณภาพสูงที่ปรับได้ถึง 8 ระดับ ไปจนถึงระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำ และก้านสตรีม My LatteArt ที่จะเปลี่ยนคุณให้เป็นลาเต้อาร์ติสต์ได้ไม่ยาก
สเปกเด่น
- เครื่องบดในตัว: ปรับความละเอียดได้ 8 ระดับ
- ระบบทำความร้อน: Thermoblock พร้อม Active Temperature Control (3 ระดับอุณหภูมิ)
- แรงดัน: 15 บาร์
- ฟังก์ชันเครื่องดื่ม: 3 สูตร (Espresso, Americano, Hot Water)
- ก้านสตรีม: My LatteArt System
- อุปกรณ์เสริม: Barista Kit (แทมเปอร์, แผ่นรองแทมป์, Dosing Funnel)
- ความจุแทงก์น้ำ: 1.5 ลิตร
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดเด่นที่ทำให้ La Specialista Arte แตกต่างและเป็นคำตอบของคำถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับสายคราฟต์ คือระบบ Active Temperature Control ครับ เราสามารถเลือกอุณหภูมิน้ำที่ใช้สกัดได้ถึง 3 ระดับ ซึ่งสำคัญมากเพราะเมล็ดกาแฟแต่ละชนิด แต่ละระดับการคั่ว ก็ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมแตกต่างกันไปเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด เช่น เมล็ดคั่วอ่อนอาจต้องการอุณหภูมิสูงหน่อยเพื่อดึงรสชาติออกมา ในขณะที่เมล็ดคั่วเข้มอาจใช้อุณหภูมิต่ำลงมาเพื่อไม่ให้รสขมไหม้จนเกินไป การควบคุมตรงนี้ได้ทำให้เราสามารถทดลองและค้นหารสชาติที่สมบูรณ์แบบสำหรับเมล็ดกาแฟที่เราชอบได้ครับ นอกจากนี้ เครื่องบดในตัวก็ให้ผงกาแฟที่ละเอียดและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของช็อตที่ดี และ De’Longhi ยังใจดีแถม Barista Kit มาให้ในกล่องเลย ทั้งแทมเปอร์โลหะอย่างดี, แผ่นรองแทมป์, และ Dosing Funnel ที่ช่วยป้องกันไม่ให้กาแฟหกตอนบด ทำให้ประสบการณ์การชงกาแฟของเราสมบูรณ์แบบและสนุกยิ่งขึ้น
สำหรับคนที่รักกาแฟนม ก้านสตรีม My LatteArt ของรุ่นนี้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและสร้างฟองนมที่เนียนละเอียดได้อย่างมืออาชีพ ทำให้การทำลาเต้ คาปูชิโน่ หรือแฟลตไวท์ที่บ้านไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ตัวเครื่องยังมีโปรแกรมชงอัตโนมัติมาให้ 2 เมนูคือ Espresso และ Americano (เครื่องจะปล่อยน้ำร้อนตามหลังช็อตให้เอง) และปุ่มปล่อยน้ำร้อนสำหรับชงชาหรือเครื่องดื่มอื่นๆ ได้อีกด้วย การออกแบบตัวเครื่องก็สวยงามตามแบบฉบับอิตาลี ใช้วัสดุสแตนเลสเป็นหลัก ดูแข็งแรงทนทานและเป็นเครื่องประดับชิ้นงามในครัวได้เลยครับ แม้ว่าการแทมป์จะต้องทำด้วยตัวเองซึ่งอาจต้องใช้การฝึกฝนบ้าง แต่สำหรับคนที่มองว่านี่คือเสน่ห์ของการชงกาแฟ และกำลังมองหา เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นผู้ช่วยคู่ใจในการสร้างสรรค์ศิลปะแห่งกาแฟ La Specialista Arte คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมและจะไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ
คะแนนที่ได้
9.0/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบที่ปรับอุณหภูมิได้ค่ะ ทำให้ดึงรสชาติกาแฟออกมาได้ดีขึ้นจริงๆ อุปกรณ์ที่ให้มาก็ครบเครื่องมาก” – กิ๊ฟ, อายุ 36
“ดีไซน์สวยมากครับ วางแล้วครัวดูแพงขึ้นเลย กาแฟที่ได้ก็ดีมาก สตรีมนมสนุกดีครับ” – นนท์, อายุ 41
5. Coffee Press Full Automatic ★★★★☆
“Bean-to-Cup ในปุ่มเดียว! ความสะดวกสบายขั้นสุดสำหรับคนรักกาแฟที่ไม่มีเวลา”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
มาถึงคิวของสายสะดวกสบายกันบ้างครับ ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่อยากดื่มกาแฟสดใหม่ที่ชงจากเมล็ดจริงๆ แต่ไม่มีเวลาหรือไม่อยากจะวุ่นวายกับขั้นตอนการบด การแทมป์ หรือการสตรีมนม และกำลังถามว่ามี เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบนี้บ้าง ผมขอเสนอ Coffee Press Full Automatic ครับ รุ่นนี้คือเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติเต็มรูปแบบ หรือที่เรียกกันว่า “Bean-to-Cup” อย่างแท้จริง หน้าที่ของเรามีแค่เติมเมล็ดกาแฟและน้ำ จากนั้นก็แค่เลือกเมนูที่ต้องการบนหน้าจอสัมผัส แล้วรอรับกาแฟแก้วโปรดได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเอสเปรสโซ่, อเมริกาโน่, คาปูชิโน่ หรือลาเต้ เครื่องจะจัดการให้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบครับ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: Full Automatic (Bean-to-Cup)
- แรงดัน: 19 บาร์
- หน้าจอ: จอสีระบบสัมผัส
- ฟังก์ชัน: บด, ชง, สตรีมนมอัตโนมัติ
- การปรับแต่ง: ปรับความเข้ม, ปริมาณน้ำ, อุณหภูมิ, ปริมาณฟองนมได้
- ระบบทำความสะอาด: ล้างหัวชงและระบบนมอัตโนมัติ
- เครื่องบด: เฟืองบดในตัว ปรับความละเอียดได้
รีวิวแบบเจาะลึก
เสน่ห์ของเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติเต็มรูปแบบอย่าง Coffee Press รุ่นนี้ คือการมอบประสบการณ์การดื่มกาแฟสดที่บ้านที่ง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ ลืมเรื่องการหา เครื่องบดกาแฟ แยก, การเรียนรู้เทคนิคการแทมป์ หรือการสตรีมนมไปได้เลย เพราะเครื่องนี้รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว เมื่อเราเลือกเมนูที่ต้องการ เช่น “คาปูชิโน่” เครื่องจะเริ่มจากการบดเมล็ดกาแฟในปริมาณที่เหมาะสม, ลำเลียงผงกาแฟเข้าสู่หัวชง, ทำการแทมป์, สกัดเอสเปรสโซ่ด้วยแรงดันสูง 19 บาร์, และในขณะเดียวกันก็จะดูดนมจากเหยือกมาทำฟองนมร้อนๆ แล้วปล่อยลงในแก้วให้เราโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องกันอย่างรวดเร็วและราบรื่น ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่ทุกนาทีมีค่าได้อย่างดีเยี่ยม และนี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อมีคนถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับคนที่ไม่ต้องการความยุ่งยาก เครื่องประเภทนี้จึงมักจะเป็นคำตอบอันดับต้นๆ เสมอ
แม้ว่าทุกอย่างจะดูอัตโนมัติไปหมด แต่เครื่องก็ยังเปิดโอกาสให้เราปรับแต่งรสชาติได้ตามความชอบนะครับ ผ่านหน้าจอสัมผัสที่ใช้งานง่าย เราสามารถปรับระดับความเข้มของกาแฟ (ปริมาณผงกาแฟที่ใช้), ปริมาณน้ำ, อุณหภูมิ, ไปจนถึงปริมาณฟองนมได้ ทำให้เราสามารถสร้างสูตรเฉพาะตัวของเราเองได้ เมื่อได้รสชาติที่ถูกใจแล้วก็สามารถบันทึกไว้เป็นโปรไฟล์ส่วนตัวได้อีกด้วย เรื่องการดูแลรักษาก็เป็นอีกอย่างที่เครื่องอัตโนมัติทำได้ดีครับ รุ่นนี้มีโปรแกรมล้างทำความสะอาดตัวเองทั้งในส่วนของหัวชงและระบบท่อนม ทุกครั้งที่เปิดหรือปิดเครื่อง มันจะทำการล้างระบบภายในเบื้องต้น และจะแจ้งเตือนเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดคราบตะกรันหรือคราบนมครั้งใหญ่ ช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาคุณภาพของรสชาติกาแฟให้ดีอยู่เสมอ ดังนั้น ถ้าความสะดวกสบายและความสม่ำเสมอคือสิ่งที่คุณมองหาใน เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี การลงทุนกับเครื่อง Full Automatic แบบนี้ถือว่าจบและคุ้มค่าในระยะยาวแน่นอนครับ
คะแนนที่ได้
8.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชีวิตดีขึ้นเยอะเลยค่ะ ตื่นมาแค่กดปุ่มเดียวก็ได้ดื่มลาเต้อร่อยๆ แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาเลย” – ฝน, อายุ 33
“สะดวกมากครับ ชอบที่ปรับความเข้มกาแฟได้ด้วย ระบบล้างตัวเองก็ดีมาก ไม่ต้องกังวลเรื่องความสะอาดเลย” – อาร์ม, อายุ 45
6. Duchess CM5350B ★★★★☆
“ตัวเริ่มต้นสุดคลาสสิก! มาพร้อมเกจวัดแรงดัน ให้ฟีลบาริสต้าในราคาสบายกระเป๋า”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับเพื่อนๆ ที่เป็นมือใหม่หัดชง แต่อยากได้เครื่องที่ดูโปร มีเกจวัดแรงดันเท่ๆ ให้เห็นว่าช็อตของเราเพอร์เฟกต์แค่ไหน และกำลังมองหา เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นครูคนแรกในเส้นทางสายกาแฟ ผมว่า Duchess CM5350B เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากครับ รุ่นนี้เป็นเครื่องชงกาแฟแบบ Semi-Automatic ที่ให้ฟังก์ชันพื้นฐานมาครบถ้วนในราคาที่จับต้องได้ง่าย จุดเด่นที่สุดของมันคือหน้าปัดเกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge) ที่ช่วยให้เราเห็นภาพว่าแรงดันขณะสกัดอยู่ในช่วงที่เหมาะสม (Espresso Range) หรือไม่ ซึ่งเป็นฟีดแบ็กที่ดีมากสำหรับมือใหม่ในการเรียนรู้และปรับปรุงเทคนิคการบดและการแทมป์กาแฟของตัวเองครับ
คุณสมบัติเด่น
- แรงดัน: 15 บาร์
- ฟีเจอร์เด่น: มีเกจวัดแรงดัน (Pressure Gauge)
- ระบบทำความร้อน: Thermoblock
- ฟังก์ชัน: ชงกาแฟ, สตรีมนม, ปล่อยน้ำร้อน
- วัสดุ: สแตนเลสสตีล
- ความจุแทงก์น้ำ: 1.2 ลิตร
รีวิวแบบเจาะลึก
การมีเกจวัดแรงดันบนเครื่องชงกาแฟในระดับราคานี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาครับ และมันคือเครื่องมือการเรียนรู้ชั้นเยี่ยมเลยทีเดียว เมื่อเราเริ่มสกัดกาแฟ เข็มบนหน้าปัดจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไป หากเราบดกาแฟละเอียดพอดีและแทมป์ด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม เข็มก็จะพุ่งเข้าไปอยู่ในโซน “Espresso” ที่มาร์กไว้ แต่ถ้าเราบดหยาบไปหรือแทมป์เบาไป เข็มก็จะไม่ถึงโซนนี้ ทำให้ได้กาแฟที่จางและเปรี้ยว ในทางกลับกัน ถ้าบดละเอียดไปหรือแทมป์แน่นไป เข็มก็จะพุ่งเกินโซน ทำให้กาแฟไหลช้าและมีรสขมไหม้ การได้เห็นฟีดแบ็กแบบเรียลไทม์นี้ช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการบด, การแทมป์ และผลลัพธ์ของช็อตกาแฟได้เร็วขึ้นมากครับ มันทำให้การชงกาแฟเป็นเหมือนการทดลองวิทยาศาสตร์ที่สนุกสนาน และเป็นเหตุผลที่ทำให้ Duchess CM5350B เป็นคำตอบที่ดีสำหรับคำถามที่ว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นอย่างถูกหลักการ
นอกเหนือจากเกจวัดแรงดันแล้ว ฟังก์ชันอื่นๆ ก็ถือว่าให้มาครบครันครับ ตัวเครื่องใช้ปั๊มแรงดัน 15 บาร์ และระบบทำความร้อนแบบ Thermoblock ซึ่งให้ความร้อนได้รวดเร็ว มีก้านสำหรับสตรีมนมและปล่อยน้ำร้อนแยกต่างหาก ทำให้สามารถทำได้ทั้งเอสเปรสโซ่, อเมริกาโน่, ลาเต้ และคาปูชิโน่ ตัวเครื่องส่วนใหญ่ทำจากสแตนเลสให้ความรู้สึกแข็งแรงและดูดีเกินราคา การควบคุมก็ง่ายด้วยปุ่มหมุนเพียงปุ่มเดียวสำหรับเลือกโหมดต่างๆ แม้ว่าประสิทธิภาพโดยรวมอาจจะยังไม่เทียบเท่าเครื่องระดับโปรอย่าง Breville หรือ De’Longhi แต่ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายกว่ากันหลายเท่าตัว ทำให้ Duchess CM5350B เป็น เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่คุ้มค่าและเป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับใครก็ตามที่อยากจะก้าวเข้าสู่โลกของเอสเปรสโซ่แบบโฮมเมดครับ
คะแนนที่ได้
8.6/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบเกจวัดแรงดันมากค่ะ ทำให้รู้ว่าเราต้องปรับการบดการแทมป์ยังไง สนุกดีค่ะ” – นุ่น, อายุ 29
“เป็นเครื่องแรกของผมเลยครับ ใช้ง่าย ราคาไม่แรง แต่ได้กาแฟดีเกินคาดเลยครับ” – บอย, อายุ 32
7. Nespresso Vertuo Pop Bundle ★★★★☆
“ง่ายสุด ฉลาดสุด! แคปซูลเดียวทำได้ 4 ขนาด พร้อมฟองนมเนียนนุ่มจาก Aeroccino”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
มาถึงเครื่องชงกาแฟแคปซูลที่ฉลาดและล้ำที่สุดในยุคนี้กันบ้างครับ ถ้าเพื่อนๆ เป็นสายที่เน้นความสะดวกสบายขั้นสุดยอด ชอบความหลากหลายของรสชาติกาแฟ และกำลังคิดว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะตอบโจทย์ชีวิตที่เร่งรีบแต่ยังอยากได้กาแฟคุณภาพดี ผมบอกเลยว่าต้องลอง Nespresso Vertuo Pop Bundle ครับ นี่คือการปฏิวัติวงการกาแฟแคปซูลอย่างแท้จริง ด้วยเทคโนโลยีการสกัดแบบใหม่ที่เรียกว่า Centrifusion™ ที่ไม่ใช่แค่การใช้แรงดันน้ำร้อนอัดผ่านกาแฟเหมือนเดิม แต่เป็นการหมุนแคปซูลด้วยความเร็วสูงถึง 7,000 รอบต่อนาที เพื่อเหวี่ยงรสชาติและสร้างชั้นเครม่าที่หนานุ่มเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือเครื่องสามารถอ่านบาร์โค้ดที่ขอบแคปซูลเพื่อปรับการชงให้เหมาะสมกับกาแฟชนิดนั้นๆ โดยอัตโนมัติ!
คุณสมบัติเด่น
- เทคโนโลยีการสกัด: Centrifusion™ (การหมุนเหวี่ยง)
- ระบบอัจฉริยะ: อ่านบาร์โค้ดบนแคปซูลเพื่อปรับการชงอัตโนมัติ
- ขนาดกาแฟ: 4 ขนาด (Espresso 40ml, Double Espresso 80ml, Gran Lungo 150ml, Mug 230ml)
- การเชื่อมต่อ: Wi-Fi และ Bluetooth สำหรับอัปเดตซอฟต์แวร์
- เครื่องทำฟองนม: มาพร้อม Aeroccino 3 ทำได้ทั้งฟองนมร้อนและเย็น
- ดีไซน์: ขนาดเล็กกะทัดรัด มีให้เลือกหลายสีสันสดใส
รีวิวแบบเจาะลึก
ความอัจฉริยะของ Nespresso Vertuo Pop คือจุดที่ทำให้มันเป็นคำตอบที่น่าสนใจมากสำหรับคำถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ครับ แคปซูลแต่ละอันจะมีบาร์โค้ดเฉพาะตัว เมื่อเราใส่แคปซูลเข้าไป เครื่องจะใช้เลเซอร์สแกนบาร์โค้ดนั้น แล้วดึงข้อมูลออกมาว่ากาแฟตัวนี้ควรจะชงด้วยปริมาณน้ำเท่าไหร่, อุณหภูมิแค่ไหน, ควรจะหมุนด้วยความเร็วนานเท่าไหร่ เพื่อดึงคาแรคเตอร์ของมันออกมาให้ดีที่สุด เราไม่ต้องคิดหรือตั้งค่าอะไรเลย แค่กดปุ่มเดียว ที่เหลือเครื่องจัดการให้หมด ผลลัพธ์ที่ได้คือความสม่ำเสมอของรสชาติ ไม่ว่าใครจะมาชงก็ได้กาแฟแก้วเดิมที่อร่อยเหมือนกันเป๊ะๆ และเทคโนโลยี Centrifusion™ ก็สร้างความแตกต่างอย่างชัดเจน เครม่าที่ได้จะหนาฟูและคงตัวอยู่นานกว่าเครม่าจากเครื่องเอสเปรสโซ่ทั่วไป ทำให้กาแฟมีความนุ่มละมุนในปากมากขึ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างและน่าประทับใจมากครับ
ในชุด Bundle นี้ยังมาพร้อมกับ Aeroccino 3 ซึ่งเป็นเครื่องทำฟองนมที่ยอดเยี่ยมมากครับ แค่เทนมสดเย็นๆ ลงไปแล้วกดปุ่ม รอไม่ถึงนาทีก็ได้ฟองนมร้อนที่เนียนละเอียด หรือจะทำฟองนมเย็นสำหรับเมนูกาแฟเย็นก็ได้เช่นกัน การมีเจ้าเครื่องนี้คู่กันทำให้เราสามารถสร้างสรรค์เมนูกาแฟนมได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นลาเต้, คาปูชิโน่ หรือแม้แต่ช็อกโกแลตร้อน ตัวเครื่อง Vertuo Pop เองก็มีดีไซน์ที่น่ารัก กะทัดรัด และมีสีสันให้เลือกมากมาย ทำให้มันเป็นเหมือนของแต่งบ้านชิ้นหนึ่งได้เลย แม้ว่าข้อจำกัดคือต้องใช้แคปซูลของ Vertuo เท่านั้น และมีราคาสูงกว่ากาแฟบด แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความสะดวก, ความหลากหลายของรสชาติ, ความสม่ำเสมอ และความสนุกในการดื่มกาแฟ การเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่เป็นระบบปิดอย่าง Nespresso Vertuo ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อความสุขในทุกเช้าที่คุ้มค่ามากครับ
คะแนนที่ได้
8.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“ง่ายจนไม่รู้จะง่ายยังไงแล้วค่ะ กาแฟก็อร่อยมาก เครม่านุ่มสุดๆ Aeroccino ก็ทำฟองนมดีมากค่ะ” – ใบเตย, อายุ 30
“ชอบที่ชงแก้วใหญ่ได้เลยตอนเช้า ไม่ต้องกดหลายรอบ มีรสชาติกาแฟให้เลือกเยอะดี ไม่เบื่อเลยครับ” – วิน, อายุ 39
8. BALIZA Coffee Machine 4-in-1 ★★★☆☆
“ความหลากหลายในหนึ่งเดียว! ตอบโจทย์คนขี้เบื่อที่อยากลองกาแฟทุกรูปแบบ”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่ไม่ชอบความจำเจ บางวันอยากดื่มเอสเปรสโซ่เข้มๆ จากกาแฟบดสดใหม่ บางวันอยากได้ความสะดวกเร็วๆ จากแคปซูล Nespresso หรือบางทีก็อยากลองแคปซูลของ Dolce Gusto ที่มีเมนูแปลกๆ เยอะแยะ และกำลังปวดหัวว่าจะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะรองรับความต้องการที่หลากหลายขนาดนี้ได้ ผมขอเสนอทางออกที่น่าสนใจมากครับ นั่นคือ BALIZA Coffee Machine 4-in-1 เครื่องนี้เกิดมาเพื่อคนหลายใจโดยเฉพาะ เพราะมันสามารถชงกาแฟได้ถึง 4 รูปแบบในเครื่องเดียว! แค่เปลี่ยนอะแดปเตอร์ที่ให้มา ก็พร้อมชงได้ทั้งกาแฟบด, แคปซูล Nespresso, แคปซูล Dolce Gusto และกาแฟพ็อดแบบ ESE ครับ
คุณสมบัติเด่น
- ความเข้ากันได้: 4-in-1 (กาแฟบด, Nespresso Capsule, Dolce Gusto Capsule, ESE Pod)
- แรงดัน: 19 บาร์
- ระบบทำความร้อน: Fast Heating System
- การใช้งาน: 2 ปุ่ม (Espresso, Lungo)
- ดีไซน์: ขนาดกะทัดรัด ประหยัดพื้นที่
- ความจุแทงก์น้ำ: 0.6 ลิตร
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดขายหลักที่ทำให้ BALIZA 4-in-1 เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคำถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี คือความยืดหยุ่นที่หาไม่ได้จากเครื่องอื่นครับ การมีอะแดปเตอร์ที่ถอดเปลี่ยนได้ทำให้เราไม่ถูกผูกมัดกับระบบใดระบบหนึ่ง วันไหนที่อยากพิถีพิถันหน่อยก็ใช้กาแฟบดที่เราชอบ วันไหนรีบๆ ก็หยิบแคปซูล Nespresso มาใช้ หรือถ้าอยากลองช็อกโกแลตร้อนหรือชานมจากแคปซูล Dolce Gusto ก็ทำได้ทันที ความสามารถรอบด้านนี้เหมาะมากสำหรับครอบครัวที่สมาชิกแต่ละคนชอบดื่มกาแฟไม่เหมือนกัน หรือสำหรับคนที่ชอบลองของใหม่ๆ อยู่เสมอ การใช้งานก็ง่ายมากครับ แค่เลือกอะแดปเตอร์ที่ต้องการ ใส่กาแฟหรือแคปซูลลงไป แล้วกดปุ่มเลือกระหว่างช็อตเล็ก (Espresso) หรือช็อตใหญ่ (Lungo) เครื่องก็จะทำการสกัดด้วยแรงดันสูงถึง 19 บาร์ ซึ่งถือว่าแรงพอที่จะดึงรสชาติกาแฟออกมาได้ดีในทุกรูปแบบ
แน่นอนว่าด้วยราคาและขนาดที่กะทัดรัด มันก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนครับ เครื่องนี้จะไม่มีฟังก์ชันสำหรับสตรีมนมมาให้ ดังนั้นจึงเหมาะกับคนที่เน้นดื่มกาแฟดำเป็นหลัก หรืออาจจะต้องซื้อ กาต้มน้ำไฟฟ้า และเครื่องทำฟองนมแยกต่างหากถ้าอยากทำกาแฟนม แทงก์น้ำขนาด 0.6 ลิตรก็อาจจะเล็กไปหน่อยสำหรับคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ อาจจะต้องเติมน้ำกันวันต่อวัน และคุณภาพของช็อตกาแฟที่ได้ แม้จะดีสำหรับราคาของมัน แต่ก็อาจจะยังไม่สามารถเทียบได้กับเครื่องที่ออกแบบมาเฉพาะทางสำหรับกาแฟบดอย่าง BENO หรือ De’Longhi ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าโจทย์ของคุณคือความหลากหลาย, ความสะดวก และความคุ้มค่า การมี เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ทำได้ทุกอย่างแบบ BALIZA 4-in-1 ติดบ้านไว้ ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ฉลาดและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่งของคุณได้อย่างแน่นอนครับ
คะแนนที่ได้
8.3/10
รีวิวสั้น ๆ
“ดีมากเลยค่ะที่ไม่ต้องเลือก ชอบลองกาแฟหลายๆ แบบอยู่แล้ว เครื่องนี้ตอบโจทย์สุดๆ” – จ๋า, อายุ 27
“สะดวกดีครับ เปลี่ยนหัวไปมาได้ตามใจชอบเลย วันไหนรีบก็ใช้แคปซูล ง่ายดีครับ” – ตั้ม, อายุ 36
9. Simplus Coffee Machine TasteBrew KFJH014 ★★★☆☆
“ตัวเริ่มต้นสุดประหยัด! ฟังก์ชันครบครันเกินราคา สกัดเข้มข้นด้วยแรงดัน 15 บาร์”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับเพื่อนๆ ที่มีงบประมาณจำกัดมากๆ แต่อยากจะเริ่มต้นเข้าสู่วงการกาแฟเอสเปรสโซ่ และกำลังมองหา เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ราคาเป็นมิตรที่สุด แต่ยังให้ฟังก์ชันมาครบๆ ผมว่า Simplus TasteBrew KFJH014 คือคำตอบที่ใช่เลยครับ รุ่นนี้เป็นเครื่องชงกาแฟที่มาในราคาที่น่าคบหามาก แต่ให้สเปกมาดีเกินคาด ทั้งแรงดัน 15 บาร์ ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับการสกัดเอสเปรสโซ่ที่ดี และยังมีก้านสำหรับสตรีมนมมาให้อีกด้วย ทำให้เราสามารถฝึกทำได้ทั้งกาแฟดำและกาแฟนมในเครื่องเดียว เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักเรียน นักศึกษา หรือคนที่อยากลองชงกาแฟเองที่บ้านโดยไม่ต้องลงทุนเยอะครับ
คุณสมบัติเด่น
- แรงดัน: 15 บาร์
- กำลังไฟ: 850W
- ฟังก์ชัน: ชงกาแฟ, สตรีมนม
- การควบคุม: ปุ่มหมุนเดียว ใช้งานง่าย
- ความปลอดภัย: ระบบป้องกันความร้อนและแรงดันสูงเกินไป
- ความจุแทงก์น้ำ: 1.5 ลิตร
รีวิวแบบเจาะลึก
แม้ว่า Simplus TasteBrew จะเป็นเครื่องชงกาแฟในกลุ่มราคาประหยัด แต่ก็ให้หัวใจสำคัญของการชงเอสเปรสโซ่มาครบถ้วน นั่นคือปั๊มแรงดัน 15 บาร์ครับ ซึ่งแรงดันระดับนี้เพียงพอที่จะดันน้ำร้อนผ่านกาแฟบดละเอียดเพื่อสกัดเอสเปรสโซ่ที่มีรสชาติเข้มข้นและมีชั้นเครม่าออกมาได้ การใช้งานก็เรียบง่ายมาก มีปุ่มหมุนขนาดใหญ่ด้านหน้าสำหรับเลือกโหมดระหว่าง “ชงกาแฟ” กับ “สตรีมนม” เท่านั้น ทำให้ไม่สับสนสำหรับมือใหม่ ส่วนด้านข้างก็มีก้านสำหรับสตรีมนม ซึ่งสามารถใช้ทำฟองนมสำหรับคาปูชิโน่หรืออุ่นนมสำหรับลาเต้ได้ แม้จะต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อควบคุมให้ได้ฟองนมที่เนียนสวย แต่การมีฟังก์ชันนี้มาให้ในเครื่องราคานี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามากแล้วครับ มันเป็นตัวเลือกที่ดีมากสำหรับคนที่กำลังคิดว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะใช้เป็นเครื่องซ้อมมือก่อนจะขยับไปเล่นรุ่นที่โปรขึ้น
แน่นอนว่าเพื่อให้ได้ราคาที่เข้าถึงง่าย ก็ต้องมีการลดทอนในบางส่วนไปครับ ตัวเครื่องส่วนใหญ่ทำจากพลาสติก ซึ่งอาจจะให้ความรู้สึกไม่พรีเมียมเท่าเครื่องที่เป็นสแตนเลส และไม่มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่แม่นยำเหมือนรุ่นพี่ราคาแพง ซึ่งอาจทำให้รสชาติของกาแฟในแต่ละช็อตมีความแปรปรวนอยู่บ้าง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของเครื่องในขณะนั้น นอกจากนี้ ในกล่องจะไม่มีแทมเปอร์มาให้ เราอาจจะต้องหาซื้อเพิ่มเอง อย่างไรก็ตาม หากมองที่ภาพรวมของราคาและฟังก์ชันที่ได้รับ Simplus TasteBrew ถือเป็น เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ทำลายกำแพงราคาและเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถมีความสุขกับการชงกาแฟเอสเปรสโซ่เองที่บ้านได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณเลยครับ
คะแนนที่ได้
8.0/10
รีวิวสั้น ๆ
“ราคาดีมากค่ะ ไม่คิดว่าจะได้เครื่องที่ทำกาแฟนมได้ในงบเท่านี้” – เมย์, อายุ 22
“ซื้อมาลองหัดชงดูครับ ก็ใช้ได้ดีเลย กาแฟเข้มข้นดีครับ คุ้มกับราคาที่จ่ายไป” – ปอนด์, อายุ 25
10. Electrolux E2CM1-200W ★★★☆☆
“เรียบง่ายและไว้ใจได้! ชงกาแฟดริปปริมาณมากสำหรับทุกคนในครอบครัว”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ปิดท้ายลิสต์กันด้วยเครื่องชงกาแฟดริปแบบคลาสสิกที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีครับ ถ้าเพื่อนๆ กำลังมองหา เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่เน้นความเรียบง่ายขั้นสุด ชงกาแฟได้ทีละเยอะๆ สำหรับทั้งครอบครัวหรือสำหรับออฟฟิศขนาดเล็ก และมาจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้ Electrolux E2CM1-200W คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งหมดนี้ครับ ไม่มีฟังก์ชันซับซ้อน ไม่มีหน้าจอสัมผัส มีแค่ปุ่มเปิด-ปิดง่ายๆ แต่สามารถชงกาแฟดริปหอมๆ ได้ถึง 12 แก้วในครั้งเดียว เหมาะสำหรับวันหยุดที่ทุกคนในบ้านตื่นมาพร้อมกัน หรือในห้องประชุมที่ต้องการกาแฟไว้เติมพลังตลอดการประชุมครับ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: Drip Coffee Maker
- ความจุ: 1.5 ลิตร (ประมาณ 10-12 ถ้วย)
- ฟังก์ชัน: แผ่นอุ่นกาแฟ (Keep Warm Plate)
- ความปลอดภัย: ระบบป้องกันน้ำหยด (Anti-drip)
- ฟิลเตอร์: แบบถอดล้างได้ ใช้ซ้ำได้
- การใช้งาน: สวิตช์เปิด-ปิด พร้อมไฟแสดงสถานะ
ใช้งานง่ายมาก ไม่มีความซับซ้อน
มีแผ่นอุ่น ช่วยให้กาแฟร้อนอยู่เสมอ
มีระบบ Anti-drip ยกโถออกได้โดยน้ำไม่หยด
ราคาประหยัดและมาจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ###ER##GF#### ไม่สามารถชงกาแฟเอสเปรสโซ่หรือกาแฟนมได้
รสชาติอาจไม่ซับซ้อนเท่าการดริปด้วยมือหรือเครื่องที่ได้มาตรฐาน SCA
แผ่นอุ่นอาจทำให้กาแฟที่ทิ้งไว้นานมีรสชาติเปลี่ยนไป
รีวิวแบบเจาะลึก
เสน่ห์ของ Electrolux E2CM1-200W อยู่ที่ความตรงไปตรงมาของมันครับ มันถูกสร้างมาเพื่อทำหน้าที่เดียวคือ “ชงกาแฟดริป” และมันก็ทำหน้าที่นั้นได้เป็นอย่างดี การใช้งานก็แค่ตวงกาแฟบดใส่ลงในฟิลเตอร์ที่สามารถถอดล้างและใช้ซ้ำได้ (ช่วยประหยัดค่ากระดาษกรองไปในตัว), เติมน้ำในแทงก์ตามขีดบอกระดับ, แล้วก็กดสวิตช์เปิดเครื่อง จากนั้นก็รอให้เครื่องค่อยๆ ปล่อยน้ำร้อนผ่านกาแฟลงมาในโถแก้วขนาดใหญ่ที่จุได้ถึง 1.5 ลิตร ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับทุกคนในบ้านหรือเพื่อนร่วมงานในออฟฟิศครับ นี่คือคำตอบที่เรียบง่ายที่สุดสำหรับคำถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี สำหรับการใช้งานพื้นฐานที่เน้นปริมาณและความสะดวก
เครื่องยังมีฟังก์ชันเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น อย่างเช่นแผ่นอุ่น (Keep Warm Plate) ที่อยู่ใต้โถ ซึ่งจะทำงานต่อเนื่องหลังจากชงเสร็จ เพื่อรักษาอุณหภูมิของกาแฟให้ร้อนพร้อมดื่มอยู่เสมอ และระบบป้องกันน้ำหยด (Anti-drip) ที่จะหยุดการไหลของกาแฟทันทีเมื่อเรายกโถแก้วออกไปริน ทำให้เราสามารถรินกาแฟดื่มก่อนที่เครื่องจะชงเสร็จได้โดยไม่หกเลอะเทอะ แม้ว่ารสชาติของกาแฟที่ได้อาจจะไม่ได้ซับซ้อนหรือสมบูรณ์แบบเท่าเครื่องดริปราคาแพงอย่าง OXO แต่สำหรับคนที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และปริมาณเยอะๆ ในราคาที่สบายกระเป๋า การมี เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่ไว้ใจได้อย่าง Electrolux ติดบ้านหรือที่ทำงานไว้ ก็ถือเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผลและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวันครับ
คะแนนที่ได้
7.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ใช้ง่ายดีค่ะ ชงทิ้งไว้ให้คนที่บ้านดื่มได้ทั้งเช้าเลย สะดวกดีค่ะ” – ป้าพร, อายุ 55
“ซื้อไว้ที่ออฟฟิศครับ ชงทีเดียวกินได้หลายคนเลย ทนทานดีครับ สมกับเป็น Electrolux” – ก้อง, อายุ 43
มุมมองจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญและบาริสต้า
เมื่อพูดถึงเทรนด์ของเครื่องชงกาแฟสำหรับใช้ในบ้านในปี 2025 ผู้เชี่ยวชาญจากเว็บไซต์กาแฟชื่อดังอย่าง Perfect Daily Grind และบาริสต้าหลายคนต่างเห็นตรงกันว่า ตลาดกำลังมุ่งไปสู่ “Personalization” หรือการทำให้กาแฟเป็นเรื่องส่วนบุคคลมากขึ้น ผู้บริโภคไม่เพียงต้องการความสะดวกสบาย แต่ยังต้องการควบคุมรสชาติและสร้างสรรค์กาแฟในแบบฉบับของตัวเองได้ด้วย
“ผู้ใช้ในปัจจุบันมีความรู้เรื่องกาแฟมากขึ้น พวกเขารู้ว่าเมล็ดกาแฟจากแต่ละแหล่งให้รสชาติไม่เหมือนกัน และการสกัดก็มีผลอย่างมากต่อรสชาติสุดท้ายในแก้ว ดังนั้น เครื่องชงกาแฟที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถปรับปัจจัยต่างๆ ได้ เช่น อุณหภูมิ, ปริมาณกาแฟ, หรือเวลาในการสกัด จึงได้รับความนิยมสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
เทรนด์นี้สะท้อนให้เห็นในเครื่องชงกาแฟระดับท็อปๆ ที่เรานำมารีวิว เช่น Breville หรือ De’Longhi ที่มีฟังก์ชันการปรับแต่งที่ละเอียด แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้การปรับแต่งนั้น “ง่ายขึ้น” สำหรับผู้ใช้ทั่วไป นี่คือจุดสมดุลที่สำคัญที่ทำให้คนตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าจะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการที่ซับซ้อนนี้
ปัจจัยสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำ
- ความเสถียรของอุณหภูมิ: บาริสต้าย้ำเสมอว่าอุณหภูมิน้ำที่คงที่เป็นหัวใจของการสกัดที่สมบูรณ์แบบ เครื่องที่มีระบบ PID หรือ Active Temperature Control จึงเป็นที่ต้องการสูง
- คุณภาพของเครื่องบด: “You can’t make good espresso with a bad grinder.” (คุณไม่สามารถทำเอสเปรสโซ่ที่ดีได้จากเครื่องบดแย่ๆ) คือคำพูดติดปากในวงการกาแฟ เครื่องชงที่มีเครื่องบดในตัวคุณภาพดี หรือการลงทุนกับ เครื่องบดกาแฟดีๆ แยกต่างหาก คือสิ่งที่จำเป็น
- ความง่ายในการทำความสะอาด: เครื่องที่ดูแลรักษายากมักจะถูกใช้น้อยลงในระยะยาว เครื่องที่มีระบบล้างตัวเองหรือถอดล้างชิ้นส่วนได้ง่ายจึงเป็นอีกปัจจัยที่น่าพิจารณา
บทวิเคราะห์จากทีมงาน TOPLISTPLUS
“จากการวิเคราะห์ของเรา เราเห็นด้วยกับผู้เชี่ยวชาญว่าเทรนด์กำลังเปลี่ยนไป การถามว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ไม่ได้จบแค่ฟังก์ชันพื้นฐานอีกต่อไป แต่มันคือการมองหาเครื่องมือที่จะมาเป็น ‘ผู้ช่วย’ ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์การดื่มกาแฟที่บ้านให้ดีที่สุด ไม่ว่าไลฟ์สไตล์ของคุณจะเน้นความเร็ว, ความพิถีพิถัน, หรือความหลากหลาย เครื่องที่ดีที่สุดคือเครื่องที่ทำให้คุณมีความสุขและอยากจะตื่นมาเพื่อชงกาแฟแก้วนั้นในทุกๆ เช้าครับ”
เคล็ดลับการเลือกซื้อฉบับจับมือทำ: จะเลือกเครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ให้โดนใจที่สุด
หลังจากดูรีวิวมาทั้งหมดแล้ว บางคนอาจจะยังลังเลอยู่ ไม่เป็นไรครับ ผมมีเช็กลิสต์ง่ายๆ มาให้เพื่อนๆ ลองตอบคำถามตัวเองดู รับรองว่าจะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้นแน่นอนว่าจะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ครับ
- คุณเป็นคอกาแฟสายไหน?:
- สายเร็ว-สะดวก: ถ้าคุณไม่มีเวลาและต้องการความง่ายขั้นสุด ให้มองไปที่เครื่องชงกาแฟแคปซูล (Nespresso) หรือเครื่อง Full-Automatic ไปเลยครับ กดปุ่มเดียวจบ
- สายคราฟต์-อยากเรียนรู้: ถ้าคุณสนุกกับการได้ลงมือทำ ปรับนั่นนิดนี่หน่อย ให้เลือกเครื่องแบบ Semi-Automatic ที่มีเครื่องบดในตัวหรือแยกก็ได้ (Breville, De’Longhi, BENO)
- สายละมุน-กาแฟดำ: ถ้าคุณชอบรสชาติสะอาดๆ ของกาแฟดริป เครื่องชงกาแฟดริปอัตโนมัติ (OXO, Electrolux) คือคำตอบครับ
- เมนูโปรดของคุณคืออะไร?: ถ้าคุณดื่มแต่กาแฟดำเป็นหลัก เครื่องที่ไม่ต้องมีก้านสตรีมนมก็จะช่วยประหยัดงบไปได้เยอะ แต่ถ้าคุณเป็นสาวกกาแฟนมตัวยงอย่างลาเต้หรือคาปูชิโน่ การลงทุนกับเครื่องที่มีก้านสตรีมทรงพลังหรือมีเครื่องทำฟองนมมาให้คือสิ่งจำเป็นครับ
- พื้นที่ในครัวและดีไซน์: ลองวัดขนาดพื้นที่ที่จะวางเครื่องชงกาแฟดูก่อนครับ เครื่องบางรุ่นอย่าง Breville ค่อนข้างใหญ่ ในขณะที่ BENO หรือ Nespresso Vertuo Pop จะประหยัดพื้นที่กว่ามาก และอย่าลืมเลือกดีไซน์และสีที่เข้ากับสไตล์การแต่งครัวของคุณด้วยนะครับ เพราะมันจะเป็นของที่อยู่กับเราไปอีกนาน
- งบประมาณในกระเป๋า: กำหนดงบประมาณทั้งหมดไว้ในใจ ไม่ใช่แค่ราคาเครื่อง แต่ต้องคิดถึงค่าใช้จ่ายระยะยาวด้วย เช่น ราคาเมล็ดกาแฟ, แคปซูล, หรืออุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น ตาชั่งดิจิตอล ที่อาจจะต้องซื้อเพิ่มครับ การเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่อยู่ในงบจะทำให้เรามีความสุขกับการใช้งานโดยไม่รู้สึกกดดัน
- การดูแลรักษา: คุณเป็นคนที่มีเวลาดูแลทำความสะอาดเครื่องมากน้อยแค่ไหน? ถ้าไม่ค่อยมีเวลา ให้มองหารุ่นที่มีระบบล้างตัวเองอัตโนมัติ หรือรุ่นที่โครงสร้างไม่ซับซ้อน ถอดล้างได้ง่าย จะช่วยลดภาระของคุณไปได้เยอะครับ
ความสำคัญของน้ำและเมล็ดกาแฟ: ปัจจัยที่ถูกมองข้าม
เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่าต่อให้เรามี เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่สุดในโลก แต่ถ้าใช้น้ำและเมล็ดกาแฟที่ไม่ดี กาแฟแก้วนั้นก็ไม่มีทางอร่อยได้เลยครับ นี่คือสองปัจจัยสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามไป
- น้ำ: กาแฟหนึ่งแก้วมีน้ำเป็นส่วนประกอบกว่า 98% ดังนั้นคุณภาพน้ำจึงมีผลอย่างมากครับ ควรใช้น้ำดื่มที่สะอาด ไม่มีกลิ่นคลอรีน หรือถ้าจะให้ดีที่สุดคือใช้น้ำกรองครับ การใช้น้ำประปาโดยตรงอาจมีแร่ธาตุบางอย่างที่ส่งผลต่อรสชาติและทำให้เกิดตะกรันในเครื่องชงกาแฟได้ง่ายขึ้นด้วยครับ
- เมล็ดกาแฟ: ควรเลือกใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วมาใหม่ๆ (ไม่เกิน 1-2 เดือนหลังวันคั่ว) เพราะกาแฟจะสูญเสียกลิ่นและรสชาติไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลา และควรจะบดกาแฟก่อนชงทุกครั้งแทนการใช้กาแฟบดสำเร็จรูป เพราะน้ำมันหอมระเหยที่อยู่ในเมล็ดจะถูกปลดปล่อยออกมาตอนบดนี่แหละครับ ส่วนจะเลือก กาแฟดำยี่ห้อไหนดี หรือเมล็ดจากแหล่งไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวเลยครับ ลองชิมไปเรื่อยๆ แล้วจะเจอตัวที่ใช่เอง
Home Cafe Corner: จัดมุมกาแฟที่บ้านให้น่าอยู่
ไหนๆ ก็ลงทุนกับเครื่องชงกาแฟดีๆ แล้ว ลองจัดมุมกาแฟเล็กๆ ที่บ้านให้น่ารักน่าใช้งานกันดีไหมครับ มันจะช่วยเพิ่มความสุขในการดื่มกาแฟขึ้นอีกเยอะเลย ไอเดียง่ายๆ ก็เช่น
- หาชั้นวางเล็กๆ หรือรถเข็นสำหรับวางเครื่องชงกาแฟ, เครื่องบด, และอุปกรณ์ต่างๆ ให้เป็นที่เป็นทาง
- มีโหลสวยๆ สำหรับเก็บเมล็ดกาแฟ (ควรเป็นโหลทึบแสงและปิดสนิทเพื่อรักษาคุณภาพกาแฟ)
- หาแก้วกาแฟสวยๆ ที่ถูกใจมาไว้สัก 2-3 ใบ การดื่มกาแฟจากแก้วโปรดช่วยให้รสชาติดีขึ้นจริงๆ นะครับ
- อาจจะมีไซรัปกลิ่นต่างๆ หรือผงโกโก้สำหรับโรยหน้าไว้ใกล้ๆ สำหรับวันที่อยากเพิ่มความพิเศษให้กับกาแฟนม
- การมี กาต้มน้ำไฟฟ้า ดีไซน์สวยๆ วางคู่กันก็ทำให้มุมกาแฟดูสมบูรณ์แบบขึ้นครับ
แค่จัดระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถเปลี่ยนมุมธรรมดาๆ ให้กลายเป็น Home Cafe ส่วนตัวที่พร้อมต้อนรับเราทุกเช้าได้แล้วครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับการเลือกเครื่องชงกาแฟ
- ถาม: เครื่องชงกาแฟแบบไหนเหมาะกับมือใหม่ที่สุด?
ตอบ: ถ้าใหม่แบบไม่เคยชงเลยและเน้นสะดวกสบาย เครื่องชงกาแฟแคปซูลอย่าง Nespresso Vertuo Pop คือตัวเลือกที่ดีที่สุดครับ แต่ถ้าอยากเรียนรู้การชงแบบพื้นฐานในงบไม่แรง Simplus หรือ Duchess ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมครับ - ถาม: แรงดัน (บาร์) สำคัญแค่ไหน? ยิ่งสูงยิ่งดีจริงไหม?
ตอบ: สำหรับการสกัดเอสเปรสโซ่ แรงดันที่เหมาะสมคือประมาณ 9 บาร์ครับ การมีแรงดันสูงกว่านั้น (เช่น 15-20 บาร์) ไม่ได้แปลว่าจะดีกว่าเสมอไป แต่มันแสดงให้เห็นว่าปั๊มของเครื่องมีกำลังมากพอที่จะรักษาแรงดัน 9 บาร์ให้คงที่ได้แม้จะเจอกับกาแฟที่บดละเอียดหรือแทมป์แน่นครับ ดังนั้นเครื่องที่มีแรงดัน 15-20 บาร์จึงมักจะให้ผลลัพธ์ที่ดีและสม่ำเสมอครับ - ถาม: ต้องล้างเครื่องชงกาแฟบ่อยแค่ไหน?
ตอบ: ควรล้างทุกวันในส่วนที่สัมผัสกับกาแฟและนมครับ เช่น ก้านชง, หัวกรุ๊ป (โดยการปล่อยน้ำร้อนผ่าน), และก้านสตรีม (เช็ดและปล่อยไอน้ำไล่นมออกทุกครั้ง) ส่วนการล้างคราบตะกรันภายใน (Descaling) ควรทำทุกๆ 2-3 เดือน หรือเมื่อเครื่องแจ้งเตือนครับ - ถาม: ระหว่างเครื่อง Semi-Auto กับ Full-Auto จะเลือกเครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์เลยครับ ถ้าคุณชอบความสนุกในการได้ลงมือทำ, ควบคุมรสชาติ, และมีเวลาให้กับมัน เลือก Semi-Auto ครับ แต่ถ้าคุณให้ความสำคัญกับความเร็ว, ความสะดวก, และความสม่ำเสมอของรสชาติโดยไม่ต้องคิดอะไรมาก เลือก Full-Automatic จะตอบโจทย์ชีวิตคุณมากกว่าครับ
บทสรุป: ค้นหาเครื่องชงกาแฟที่ใช่สำหรับคุณในปี 2025
มาถึงตรงนี้ ผมหวังว่าเพื่อนๆ น่าจะได้คำตอบในใจกันบ้างแล้วนะครับว่า เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้านของเรา การเลือกซื้อเครื่องชงกาแฟไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับทุกคนครับ เพราะเครื่องที่ดีที่สุดคือเครื่องที่เข้ากับไลฟ์สไตล์, รสนิยม, และงบประมาณของเราได้อย่างลงตัวที่สุด จากทั้ง 10 รุ่นที่เราคัดมาให้วันนี้ ถ้าให้สรุปสั้นๆ ก็คือ:
- ถ้าคุณคือสายคราฟต์ที่จริงจังและต้องการความสมบูรณ์แบบ: Breville Barista Express Impress คือที่สุดครับ
- ถ้าคุณรักในดีไซน์และมีพื้นที่จำกัดแต่ยังต้องการคุณภาพ: BENO Piccolo จะทำให้ครัวของคุณสวยขึ้นและได้กาแฟอร่อยๆ ทุกวัน
- ถ้าคุณคือสายสะดวกสบายขั้นสุดยอด: Nespresso Vertuo Pop หรือ Coffee Press Full Automatic จะเปลี่ยนชีวิตตอนเช้าของคุณให้ง่ายขึ้นเยอะ
- ถ้าคุณเป็นมือใหม่ที่อยากเริ่มต้นในงบประหยัด: Duchess CM5350B หรือ Simplus TasteBrew คือจุดเริ่มต้นที่คุ้มค่ามากครับ
สุดท้ายนี้ ไม่ว่าคุณจะเลือก เครื่องชงกาแฟ ยี่ห้อไหนดี ก็ตาม ขอให้มีความสุขกับการเดินทางในโลกของกาแฟนะครับ การได้ลองเมล็ดใหม่ๆ, ปรับสูตรการชง, หรือฝึกเทลาเต้อาร์ตลายง่ายๆ มันเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้แต่ละวันพิเศษขึ้นได้จริงๆ ครับ ขอให้เพื่อนๆ ทุกคนเจอกาแฟแก้วที่ใช่และเครื่องชงคู่ใจในเร็ววันนะครับ!
หมายเหตุจากผู้เขียน:
- รายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติ, ราคา, หรือโปรโมชันของสินค้า อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต กรุณาตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน้าสินค้าบน Shopee/Lazada หรือเว็บไซต์ทางการของแบรนด์อีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ
- คะแนน (เช่น 9.8/10) เป็นการประเมินโดยทีมงาน TOPLISTPLUS โดยอ้างอิงจากข้อมูลสเปก, ฟีเจอร์, ความคุ้มค่าด้านราคา, รีวิวจากผู้ใช้งานจริง และประสบการณ์ของผู้เขียน เพื่อเป็นแนวทางประกอบการตัดสินใจเท่านั้น
- รีวิวสั้นๆ จากผู้ใช้งาน (เช่น “พลอย, อายุ 34”) เป็นตัวอย่างสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพการใช้งานจากมุมมองที่หลากหลายครับ
- บทความนี้เป็นการรวบรวมข้อมูล ณ วันที่จัดทำ คุณสมบัติบางอย่างอาจมีการอัปเดตจากผู้ผลิตในอนาคต ควรตรวจสอบข้อมูลจากแบรนด์โดยตรง เช่น Breville, De’Longhi, Nespresso, และ OXO เพื่อความถูกต้องที่สุดครับ