บทนำ
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ คนรักความสะอาดทุกคน! เคยไหมคะที่นอนหลับไปแล้วรู้สึกคันยิบ ๆ ตื่นมาก็จามฟุดฟิดไม่หยุด ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเปลี่ยนผ้าปูที่นอนไปแท้ ๆ บอกเลยว่าตัวการร้ายอาจไม่ใช่แค่ฝุ่นธรรมดา แต่เป็น “ไรฝุ่น” ตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ตามที่นอน หมอน โซฟา ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของโรคภูมิแพ้เลยค่ะ ด้วยเหตุนี้เอง การมีผู้ช่วยดี ๆ อย่างเครื่องดูดไรฝุ่นจึงกลายเป็นไอเทมที่ทุกบ้านต้องมีไปแล้ว แต่คำถามที่ตามมาคือ เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่จะตอบโจทย์เราได้ดีที่สุด? เพราะในตลาดมีให้เลือกเยอะมาก ตั้งแต่รุ่นพื้นฐานไปจนถึงรุ่นไฮเทคที่มีทั้งลมร้อนและแสง UV ฆ่าเชื้อโรค
วันนี้ในฐานะเพื่อนที่เข้าใจหัวอกคนเป็นภูมิแพ้เหมือนกัน เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์และข้อมูลที่ไปรวบรวมมาแบบจัดเต็ม กับการจัดอันดับ 10 เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025 ค่ะ เราจะไม่ได้มาแค่บอกว่ารุ่นไหนดี แต่จะเจาะลึกไปถึงฟังก์ชันเด่น ๆ พลังดูด การฆ่าเชื้อโรค ดีไซน์ และความคุ้มค่า เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ข้อมูลครบถ้วนที่สุดในการตัดสินใจเลือกซื้อเครื่องที่ใช่สำหรับบ้านเราจริง ๆ ค่ะ นอกจากไรฝุ่นแล้ว คุณภาพอากาศในห้องก็สำคัญไม่แพ้กันนะคะ ใครที่กำลังมองหาตัวช่วยเพิ่มเติม ลองเข้าไปดูรีวิว เครื่องฟอกอากาศ ยี่ห้อไหนดี ที่เคยทำไว้ได้เลยค่ะ รับรองว่าถ้ามี 2 ไอเทมนี้คู่กัน บ้านจะสะอาดน่าอยู่ขึ้นเยอะเลย! เอาล่ะค่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เราไปดูตารางเปรียบเทียบภาพรวมกันก่อนเลยดีกว่าค่ะ!
จัดอันดับ 10 เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025
สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจอยู่ว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่จะเหมาะกับบ้านของเราที่สุด ลองดูตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติเด่นและคะแนนจากทีมงานของเราก่อนได้เลยค่ะ จะได้เห็นภาพรวมของแต่ละรุ่นได้ง่ายขึ้น แล้วค่อยเลื่อนลงไปอ่านรีวิวฉบับเจาะลึกของรุ่นที่สนใจกันต่อนะคะ
1. Dreame D20 Pro ★★★★★
“ตัวจบเรื่องไรฝุ่น! พลังดูดสูง ลมร้อนฆ่าเชื้อ พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ บ้านสะอาดเหมือนใหม่”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
เปิดตัวอันดับหนึ่งมาก็ต้องยกให้ตัวท็อปอย่าง Dreame D20 Pro เลยค่ะ! ใครที่กำลังมองหาว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่มีฟังก์ชันครบครันแบบไม่ต้องคิดเยอะ รุ่นนี้คือคำตอบสุดท้ายจริง ๆ ค่ะ ด้วยดีไซน์ไร้สายที่ให้ความคล่องตัวสูง จะยกไปดูดที่นอนชั้นบน หรือโซฟาห้องนั่งเล่นก็สะดวกสบาย จุดเด่นที่ทำให้รุ่นนี้กินขาดคือระบบกำจัดไรฝุ่นแบบ 3-in-1 ทั้งพลังดูดมหาศาล 17,000 Pa ที่ดูดได้ลึกถึงใยผ้า, แสง UV-C ที่ฆ่าเชื้อโรคได้ถึง 99.9% และที่สำคัญคือลมร้อน 60°C ที่เป่าออกมาเพื่อลดความชื้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ไรฝุ่นชอบ ทำให้กำจัดได้ถึงต้นตอจริง ๆ ค่ะ บอกเลยว่าแค่ดูดครั้งแรกก็เห็นผลแล้วว่าที่นอนของเราสะอาดและฟูนุ่มขึ้นมากแค่ไหน
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: ไร้สาย
- พลังดูด: 17,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C, ลมร้อน 60°C
- ฟีเจอร์พิเศษ: Smart Dust Mite Sensor, แปรงตบความถี่สูง, แบตเตอรี่ใช้งานสูงสุด 60 นาที
- ระบบกรอง: HEPA Filter กรองละเอียด 5 ชั้น
รีวิวแบบเจาะลึก
สิ่งที่ทำให้ Dreame D20 Pro โดดเด่นกว่าใครและเป็นคำตอบของคำถามว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี คือเทคโนโลยี Smart Dust Mite Sensor ค่ะ ตัวเครื่องจะมีไฟ LED แสดงสถานะความสะอาดแบบเรียลไทม์เลย คือถ้าไฟเป็นสีแดงแปลว่าบริเวณนั้นยังมีไรฝุ่นหนาแน่น เครื่องก็จะปรับแรงดูดให้สูงขึ้นอัตโนมัติ พอเราดูดไปเรื่อย ๆ จนไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว ก็แปลว่าสะอาดแล้ว! ฟีเจอร์นี้ฉลาดมาก ๆ ค่ะ ทำให้เราไม่ต้องเดาเองว่าต้องดูดนานแค่ไหน และยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่ไปในตัวด้วย ส่วนหัวแปรงก็ออกแบบมาพิเศษ เป็นแปรงยางผสมขนแปรงที่หมุนด้วยความเร็วสูง ทำหน้าที่ “ตบ” ให้ไรฝุ่นและสิ่งสกปรกที่เกาะแน่นอยู่หลุดออกมาจากใยผ้า แล้วค่อยใช้พลังดูดสูงเก็บเข้าไปอีกที เป็นการทำความสะอาดที่ล้ำลึกจริง ๆ ค่ะ ใครที่เคยใช้แต่เครื่องดูดฝุ่นธรรมดาจะรู้สึกถึงความแตกต่างได้ชัดเจนเลย
ในด้านการใช้งานก็สะดวกสบายมากค่ะ ด้วยความที่เป็นแบบไร้สาย ทำให้ไม่มีปัญหาสายไฟพันกันกวนใจ แบตเตอรี่ก็ให้มาแบบจุใจ สามารถใช้งานในโหมด Eco ได้นานถึง 60 นาที ซึ่งเพียงพอต่อการทำความสะอาดที่นอนทั้งบ้านแน่นอนค่ะ ระบบการกรองก็เป็นแบบ HEPA 5 ชั้น สามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กจิ๋วถึง 0.3 ไมครอนได้ ทำให้อากาศที่ปล่อยออกมาสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ต้องกังวลว่าดูดฝุ่นแล้วจะฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง การทิ้งฝุ่นก็ง่ายแค่กดปุ่มเดียว ถ้วยเก็บฝุ่นก็ถอดล้างทำความสะอาดได้ทุกชิ้นส่วนเลยค่ะ แม้ว่าราคาอาจจะสูงกว่ารุ่นอื่น ๆ ไปบ้าง แต่ถ้ามองถึงประสิทธิภาพและเทคโนโลยีที่ได้มา บอกเลยว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ เป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัวอย่างแท้จริงค่ะ สำหรับใครที่กำลังมองหา หุ่นยนต์ดูดฝุ่น อยู่ด้วย Dreame ก็เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในด้านนี้เช่นกันค่ะ
คะแนนที่ได้
9.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ตั้งแต่ใช้ตัวนี้ ลูกสาวที่เป็นภูมิแพ้ไม่จามตอนตื่นนอนเลยค่ะ ชอบมากที่มีไฟบอกความสะอาด ทำให้รู้ว่าต้องดูดตรงไหนซ้ำ” – คุณแม่แอน, อายุ 34
“พลังดูดสะใจจริง ๆ ครับ ตอนแรกไม่เชื่อว่าที่นอนจะมีฝุ่นเยอะขนาดนี้ พอเห็นผลลัพธ์แล้วอึ้งไปเลย คุ้มค่ามากครับ” – คุณอาร์ม, อายุ 38
2. Dyson V8 Slim ★★★★★
“พลังดูดไซโคลนในตำนาน น้ำหนักเบา คล่องตัว เปลี่ยนหัวดูดได้หลากหลาย จบครบทั้งบ้าน”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าพูดถึงวงการเครื่องดูดฝุ่นแล้วไม่พูดถึง Dyson ก็คงจะไม่ได้ใช่ไหมคะ! สำหรับ Dyson V8 Slim แม้ว่าจะไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นเครื่องดูดไรฝุ่นโดยตรง แต่ด้วยพลังดูดที่รุนแรงจากดิจิทัลมอเตอร์ V8 และเทคโนโลยี 2 Tier Radial™ cyclones ทำให้มันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่คนถามถึงบ่อย ๆ ว่าเป็น เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่น่าใช้มาก ๆ ค่ะ จุดเด่นของ Dyson คือความอเนกประสงค์ เราสามารถใช้ดูดฝุ่นบนพื้น ดูดหยากไย่บนเพดาน แล้วก็ถอดท่อออก เปลี่ยนเป็นหัวดูดสำหรับที่นอน (Mini Motorised Head) เพื่อกำจัดไรฝุ่นได้ในเครื่องเดียวเลยค่ะ รุ่น Slim ถูกออกแบบมาให้มีน้ำหนักเบาและสมดุล ทำให้ใช้งานได้ง่าย ไม่เมื่อยมือ เหมาะกับคุณผู้หญิงอย่างเรา ๆ มากค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: ไร้สาย (ด้ามจับ)
- พลังดูด: 115 AW (Air Watts)
- ระบบฆ่าเชื้อ: ไม่มี (เน้นพลังดูดและระบบกรอง)
- ฟีเจอร์พิเศษ: เปลี่ยนหัวดูดได้หลายแบบ, น้ำหนักเบา, ระบบกรอง HEPA ทั้งระบบ
- ระบบกรอง: Advanced whole-machine filtration (HEPA)
รีวิวแบบเจาะลึก
หัวใจสำคัญของ Dyson V8 Slim คือพลังดูดค่ะ ด้วยดิจิทัลมอเตอร์ที่หมุนเร็วถึง 110,000 รอบต่อนาที สร้างแรงดูดมหาศาลที่สามารถดึงเอาไรฝุ่นและมูลของมันที่ฝังลึกอยู่ในที่นอนออกมาได้อย่างหมดจด เมื่อใช้คู่กับหัวดูด Mini Motorised Head ที่มีแปรงไนลอนแข็งช่วยปั่นและตบเส้นใยผ้า ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดไรฝุ่นสูงขึ้นไปอีกค่ะ นอกจากนี้ ระบบกรอง HEPA ของ Dyson ยังเป็นแบบ “ทั้งระบบ” (Whole-machine filtration) หมายความว่าอากาศที่ผ่านเข้าไปในเครื่องจะถูกกรองอย่างสมบูรณ์ก่อนปล่อยออกมา ทำให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารก่อภูมิแพ้เล็ดลอดกลับออกมาทำร้ายเราได้อีก ถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้ Dyson เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้หนัก ๆ เลยค่ะ
ความคล่องตัวก็เป็นอีกเรื่องที่น่าประทับใจค่ะ เราสามารถเปลี่ยนจากเครื่องดูดฝุ่นด้ามยาวไปเป็นเครื่องดูดฝุ่นมือถือได้ในคลิกเดียว ทำให้การทำความสะอาดโซฟา ผ้าม่าน หรือแม้แต่ในรถยนต์เป็นเรื่องง่ายมาก การทิ้งฝุ่นก็ถูกสุขลักษณะด้วยระบบ Hygienic bin emptying แค่ดึงสลักขึ้น ฝากล่องเก็บฝุ่นก็จะเปิดออกให้เราเททิ้งได้โดยไม่ต้องสัมผัสกับฝุ่นโดยตรงค่ะ แม้ว่า Dyson V8 Slim จะไม่มีฟังก์ชันเสริมอย่างลมร้อนหรือ UV เหมือนเครื่องดูดไรฝุ่น chuyên dụng แต่พลังดูดและระบบการกรองที่เหนือชั้นก็เพียงพอที่จะทำให้มันเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคำถามที่ว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่ต้องการความอเนกประสงค์และเชื่อมั่นในคุณภาพของแบรนด์ค่ะ ถ้าอยากเปรียบเทียบกับ เครื่องดูดฝุ่นไร้สาย รุ่นอื่น ๆ ก็สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้นะคะ
คะแนนที่ได้
9.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“เบาและใช้ง่ายมากค่ะ ดูดได้ทุกซอกทุกมุมจริง ๆ ตั้งแต่ซื้อมาก็ใช้ดูดทั้งพื้นทั้งที่นอนเลย คุ้มมากค่ะ” – คุณฝน, อายุ 29
“พลังดูดแรงไม่ตกเลยครับ ใช้มาเป็นปีแล้วยังเหมือนใหม่ แค่หัวดูดไรฝุ่นก็เอาอยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อเครื่องแยกเลย” – คุณบอย, อายุ 42
3. Xiaomi Dust Mites Vacuum ★★★★☆
“คุ้มค่าเกินราคา! ฟังก์ชันครบทั้ง UV และลมร้อน ในดีไซน์มินิมอลสไตล์ Xiaomi”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
มาถึงคิวของแบรนด์ขวัญใจมหาชนอย่าง Xiaomi กันบ้างค่ะ! สำหรับ Xiaomi Dust Mites Vacuum รุ่นนี้เป็นคำตอบที่สมบูรณ์แบบสำหรับคนที่สงสัยว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่ราคาไม่แรงแต่ฟังก์ชันจัดเต็ม เพราะ Xiaomi ให้มาครบจริง ๆ ค่ะ ทั้งระบบตบฝุ่นด้วยความถี่สูง 10,000 ครั้ง/นาที, พลังดูด 12,000 Pa, แสง UV-C ที่สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและไรฝุ่นได้ถึง 99.9% แถมยังมีลมร้อน 50°C ช่วยเป่าลดความชื้นบนที่นอนอีกด้วย ทั้งหมดนี้มาในราคาที่จับต้องได้ง่ายมาก ๆ ตามสไตล์ของแบรนด์เลยค่ะ ดีไซน์ก็มาในแนวมินิมอล สีขาวสะอาดตา วางตรงไหนของบ้านก็ดูดีไปหมด
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: มีสาย
- พลังดูด: 12,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C, ลมร้อน 50°C
- ฟีเจอร์พิเศษ: ระบบสั่นสะเทือนความถี่สูง, ระบบกรอง 3 ชั้น, เซ็นเซอร์ตัดการทำงาน UV
- น้ำหนัก: 2.3 กก.
รีวิวแบบเจาะลึก
แม้ว่าจะเป็นรุ่นที่มีสาย แต่สายไฟที่ให้มายาวถึง 4 เมตร ก็ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานบนที่นอนขนาดใหญ่หรือโซฟาตัวยาวได้สบาย ๆ ค่ะ จุดที่น่าชื่นชมมาก ๆ คือระบบความปลอดภัยของแสง UV-C ที่จะมีเซ็นเซอร์คอยตรวจจับ หากเรายกเครื่องขึ้นจากพื้นผิว แสง UV ก็จะดับลงอัตโนมัติทันที ป้องกันไม่ให้แสงมาโดนตาเราได้ค่ะ ส่วนระบบกรองก็ให้มา 3 ชั้น ประกอบด้วยตะแกรงกรองสแตนเลส, ไส้กรอง HEPA และฟองน้ำกรองฝุ่น ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้ว่าฝุ่นและไรฝุ่นที่ดูดเข้าไปจะถูกกักเก็บไว้อย่างดี ไม่มีฟุ้งออกมาปะปนในอากาศอีกแน่นอนค่ะ
การใช้งานก็ตรงไปตรงมามาก มีปุ่มเปิด-ปิดเพียงปุ่มเดียว กดแล้วเครื่องก็ทำงานเต็มประสิทธิภาพทันที ไม่ต้องเลือกโหมดให้วุ่นวาย เหมาะสำหรับผู้สูงอายุหรือคนที่ไม่ชอบอุปกรณ์ที่ซับซ้อนค่ะ ถ้วยเก็บฝุ่นและไส้กรองสามารถถอดออกมาล้างน้ำได้ทั้งหมด ทำให้การดูแลรักษาง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว ไม่ต้องซื้อไส้กรองเปลี่ยนบ่อย ๆ ค่ะ ด้วยราคาและฟังก์ชันที่ให้มาครบขนาดนี้ ทำให้ Xiaomi Dust Mites Vacuum เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้นดูแลสุขภาพและกำลังมองหา เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่คุ้มค่าที่สุดในตลาดตอนนี้เลยค่ะ และถ้าคุณเป็นแฟนของ Xiaomi อยู่แล้ว การมีเครื่องนี้ไว้คู่กับ เครื่องฟอกอากาศ Xiaomi ก็จะทำให้บ้านของคุณกลายเป็น Smart Home ที่น่าอยู่ขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
คะแนนที่ได้
9.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“คุ้มมากค่ะ ไม่คิดว่าราคาเท่านี้จะได้ฟังก์ชันครบขนาดนี้เลย ใช้แล้วรู้สึกที่นอนสะอาดขึ้นจริง ๆ ค่ะ” – คุณปลา, อายุ 31
“ใช้งานง่ายดีครับ พ่อกับแม่ที่บ้านก็ใช้เป็น แค่เสียบปลั๊กกดปุ่มเดียวจบเลย ดีไซน์สวยด้วยครับ” – คุณนนท์, อายุ 28
4. Deerma CM980 ★★★★☆
“พลังลมร้อนสะใจ 60°C พร้อมแรงตบและพลังดูดสูง กำจัดไรฝุ่นได้อยู่หมัด”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าใครเป็นสายที่ชอบความร้อนสะใจ ต้องถูกใจ Deerma CM980 รุ่นนี้แน่นอนค่ะ! เพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่รุ่นในตลาดที่ให้ลมร้อนมาสูงถึง 60°C ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่สามารถฆ่าไรฝุ่นและทำลายไข่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นตอเลยทีเดียวค่ะ Deerma CM980 จึงเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่น่าสนใจสำหรับคำถามที่ว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี โดยเฉพาะคนที่กังวลเรื่องความชื้นและเชื้อราบนที่นอนค่ะ นอกจากลมร้อนแล้ว ฟังก์ชันอื่น ๆ ก็ให้มาแบบไม่กั๊ก ทั้งพลังดูด 15,000 Pa, แสง UV-C และระบบตบฝุ่นความถี่สูง ทำให้มั่นใจได้เลยว่าที่นอนของคุณจะสะอาดหมดจดอย่างแน่นอน
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: มีสาย
- พลังดูด: 15,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C, ลมร้อน 60°C
- ฟีเจอร์พิเศษ: ระบบสั่นสะเทือนคู่, ระบบกรองไซโคลน + HEPA, หน้าจอแสดงผล LED
- ความยาวสายไฟ: 4.5 เมตร
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดขายหลักของ Deerma CM980 คือระบบทำความร้อน PTC ที่สามารถสร้างลมร้อน 60°C ได้อย่างคงที่และปลอดภัย การใช้ลมร้อนเป่าลงบนที่นอนไม่เพียงแต่จะช่วยฆ่าไรฝุ่น แต่ยังช่วยลดความชื้นสะสม ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ชั้นดีของเชื้อราและแบคทีเรีย ทำให้ที่นอนของเราแห้งสบายและถูกสุขลักษณะมากขึ้นค่ะ เมื่อทำงานร่วมกับระบบสั่นสะเทือนแบบ Double-Tapping ที่ตบด้วยความเร็ว 8,000 ครั้ง/นาที และพลังดูด 15,000 Pa ก็ยิ่งทำให้การกำจัดสิ่งสกปรกที่ฝังลึกมีประสิทธิภาพสูงสุดค่ะ บนตัวเครื่องยังมีหน้าจอ LED เล็ก ๆ คอยบอกสถานะของโหมดต่าง ๆ ทำให้เราใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วย
ระบบการกรองของรุ่นนี้ก็น่าสนใจค่ะ เป็นแบบกรอง 2 ชั้น คือชั้นแรกเป็น Steel Cyclone ช่วยเหวี่ยงฝุ่นชิ้นใหญ่ ๆ ออกไปก่อน จากนั้นอากาศจะผ่านไส้กรอง HEPA อีกชั้นเพื่อดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก วิธีนี้ช่วยยืดอายุการใช้งานของไส้กรอง HEPA ได้ดีมากค่ะ ทำให้เราไม่ต้องทำความสะอาดหรือเปลี่ยนบ่อย ๆ ตัวเครื่องแม้จะเป็นแบบมีสาย แต่ก็ให้สายไฟมาค่อนข้างยาว ทำให้ใช้งานได้สะดวกในระดับหนึ่งค่ะ โดยรวมแล้ว Deerma CM980 เป็น เครื่องดูดไรฝุ่น ที่โดดเด่นในเรื่องการใช้ความร้อนกำจัดเชื้อโรค ถ้าใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ รุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์และคุ้มค่ามาก ๆ ค่ะ การดูแลที่นอนให้สะอาดก็เหมือนกับการดูแล ที่นอนยางพารา ดี ๆ ของเราให้อยู่กับเราไปนาน ๆ นั่นเองค่ะ
คะแนนที่ได้
9.0/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบลมร้อนมากค่ะ รู้สึกเลยว่าที่นอนแห้งและสะอาดขึ้นจริง ๆ หลังใช้แล้วนอนสบาย ไม่คันเลยค่ะ” – คุณนุ่น, อายุ 35
“พลังดูดแรงดีครับ ดูดฝุ่นออกมาได้เยอะมาก หน้าจอที่บอกโหมดก็ดูง่ายดีครับ” – คุณเอก, อายุ 40
5. Airbot CM900 ★★★★☆
“ตัวเล็กสเปกคุ้ม! เบา พกง่าย ราคาประหยัด ตอบโจทย์คนเริ่มใช้และชาวหอ”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับนักศึกษาหรือคนที่พักอยู่คอนโด/หอพัก ที่มีพื้นที่จำกัดและกำลังมองหา เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่ราคาเป็นมิตรที่สุด Airbot CM900 คือตัวเลือกที่น่ารักน่าใช้มาก ๆ ค่ะ ด้วยราคาที่เบา ๆ แต่ให้ฟังก์ชันมาค่อนข้างครบ ทั้งแสง UV-C สำหรับฆ่าเชื้อโรค, ระบบตบฝุ่น 8,000 ครั้ง/นาที และพลังดูด 10,000 Pa ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการทำความสะอาดที่นอนหรือโซฟาขนาดเล็กแล้วค่ะ จุดเด่นที่สุดของรุ่นนี้คือน้ำหนักที่เบามากเพียง 1.3 กิโลกรัม ทำให้ใช้งานง่าย ไม่ต้องออกแรงเยอะ และยังจัดเก็บสะดวก ไม่เปลืองพื้นที่อีกด้วยค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: มีสาย
- พลังดูด: 10,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C
- ฟีเจอร์พิเศษ: ระบบสั่นสะเทือน, น้ำหนักเบาเพียง 1.3 กก., ระบบกรอง HEPA
- ระดับเสียง: <70dB
รีวิวแบบเจาะลึก
Airbot CM900 ถูกออกแบบมาเพื่อความง่ายและสะดวกในการใช้งานเป็นหลักค่ะ ตัวเครื่องมีดีไซน์โค้งมนน่ารัก จับถนัดมือ การทำงานก็ไม่ซับซ้อน แค่เสียบปลั๊กแล้วกดปุ่มเดียว เครื่องก็จะเริ่มทำงานทั้งระบบตบ, ดูด และฉายแสง UV ไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ แสง UV-C ที่ให้มาก็มีระบบเซ็นเซอร์ความปลอดภัยเหมือนรุ่นใหญ่ ๆ คือจะดับเองเมื่อยกเครื่องขึ้นจากพื้นผิว ป้องกันอันตรายต่อดวงตาได้ดีค่ะ ส่วนระบบการกรองก็เป็นแบบ HEPA ที่สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาไปได้อีกทางหนึ่ง
ถึงแม้ว่าพลังดูด 10,000 Pa อาจจะดูไม่สูงเท่ารุ่นพี่ตัวท็อป แต่สำหรับการใช้งานบนที่นอน, หมอน, ตุ๊กตา หรือโซฟาผ้าในห้องขนาดเล็ก ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดเลยค่ะ สามารถดูดฝุ่นผง, เส้นผม, ขนสัตว์ และไรฝุ่นที่อยู่บนพื้นผิวออกมาได้เยอะพอสมควรเลยค่ะ ด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายและประสิทธิภาพที่เพียงพอต่อการใช้งานพื้นฐาน ทำให้ Airbot CM900 เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่อยากลองใช้เครื่องดูดไรฝุ่นเป็นครั้งแรก หรือมีงบประมาณจำกัดค่ะ ถือเป็นอีกหนึ่งคำตอบที่ดีสำหรับคำถามว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ในกลุ่มราคาประหยัดค่ะ การมีเครื่องใช้ไฟฟ้าดีๆ ราคาไม่แพงก็เหมือนการเลือก เครื่องซักผ้าราคาถูก ที่คุณภาพดีมาใช้งานนั่นเองค่ะ
คะแนนที่ได้
8.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ตัวเล็กแต่แรงดูดใช้ได้เลยค่ะ เหมาะกับห้องนอนในคอนโดมาก ไม่เกะกะดีค่ะ” – คุณมิ้นท์, อายุ 25
“ซื้อมาใช้ในหอพักครับ ราคาถูกและดีจริง ๆ ครับ ใช้งานง่ายมาก แค่ดูดอาทิตย์ละครั้งก็รู้สึกสะอาดขึ้นเยอะแล้ว” – น้องเกม, อายุ 21
6. Simplus CMYH004 ★★★★☆
“มินิมอลโดนใจ ใช้งานง่าย ฟังก์ชันพื้นฐานครบในราคาสบายกระเป๋า”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
มาต่อกันที่แบรนด์ Simplus ที่ขึ้นชื่อเรื่องเครื่องใช้ไฟฟ้าดีไซน์มินิมอลราคาน่ารักค่ะ สำหรับ Simplus CMYH004 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ตอบโจทย์คำถามว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี สำหรับคนที่ไม่ต้องการฟังก์ชันซับซ้อน แต่เน้นการใช้งานที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในระดับที่น่าพอใจ รุ่นนี้มาพร้อมฟังก์ชันหลักที่จำเป็นครบถ้วนค่ะ ทั้งพลังดูด 10,000 Pa, ระบบตบฝุ่น 8,000 ครั้ง/นาที และแสง UV-C สำหรับฆ่าเชื้อโรค ซึ่งทั้งหมดนี้เพียงพอสำหรับการดูแลรักษาความสะอาดที่นอนและโซฟาในชีวิตประจำวันแล้วค่ะ ดีไซน์ตัวเครื่องสีขาวคลีน ๆ กับรูปทรงโค้งมน ทำให้มันดูเป็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งในบ้านมากกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: มีสาย
- พลังดูด: 10,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C
- ฟีเจอร์พิเศษ: ระบบสั่นสะเทือน, ดีไซน์มินิมอล, ถังเก็บฝุ่นโปร่งใส, กรอง HEPA
- น้ำหนัก: 1.5 กก.
ราคาเข้าถึงง่ายมาก
น้ำหนักเบา ใช้งานสะดวก
มีฟังก์ชัน UV-C มาให้ครบ
ถังเก็บฝุ่นและฟิลเตอร์ถอดล้างได้###ER##GF#### ไม่มีระบบลมร้อน
พลังดูดอยู่ในระดับพื้นฐาน
ต้องเสียบสายตลอดการใช้งาน
รีวิวแบบเจาะลึก
Simplus CMYH004 เน้นเจาะกลุ่มผู้ใช้งานที่ต้องการความเรียบง่ายค่ะ การควบคุมมีแค่ปุ่มเดียว กดปุ๊บทำงานปั๊บ ไม่ต้องตั้งค่าอะไรให้ยุ่งยากเลย เหมาะกับทุกเพศทุกวัยจริง ๆ ค่ะ แม้พลังดูดจะอยู่ที่ 10,000 Pa แต่เมื่อทำงานร่วมกับระบบตบฝุ่นแล้ว ก็สามารถดึงเอาเศษผิวหนัง เส้นผม และไรฝุ่นที่อยู่ไม่ลึกมากออกมาได้ดีเลยค่ะ จากที่ลองใช้จะเห็นฝุ่นผงสีขาว ๆ ในถังเก็บฝุ่นเยอะมาก แสดงว่ามันทำงานได้ผลจริง ๆ ค่ะ ถังเก็บฝุ่นออกแบบมาให้เป็นแบบโปร่งใส ทำให้เราเห็นปริมาณฝุ่นที่ดูดได้และรู้ว่าควรจะนำไปเททิ้งเมื่อไหร่ ซึ่งช่วยให้เครื่องทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอดเวลาค่ะ
ระบบกรองเป็นแบบ HEPA ที่สามารถดักจับอนุภาคเล็ก ๆ ได้ ช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้ฟุ้งกระจายกลับออกมา และที่สำคัญคือไส้กรองสามารถถอดล้างน้ำได้ ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อฟิลเตอร์ใหม่ได้เยอะเลยค่ะ ตัวเครื่องมีน้ำหนักเบา ทำให้คุณผู้หญิงสามารถใช้งานได้นานโดยไม่รู้สึกเมื่อยแขน เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ในงบประมาณจำกัด แต่ยังอยากได้เครื่องที่หน้าตาสวยงามและทำงานได้ดีค่ะ การดูแลบ้านให้สะอาดก็เหมือนการเลือกใช้ น้ำยาถูพื้น ที่ดี ที่ช่วยให้บ้านหอมสดชื่นน่าอยู่นั่นเองค่ะ
คะแนนที่ได้
8.6/10
รีวิวสั้น ๆ
“ดีไซน์สวยมากค่ะ วางไว้ในห้องนอนแล้วดูดีเลย แรงดูดก็โอเคเลยสำหรับราคาเท่านี้ค่ะ” – คุณฟ้า, อายุ 27
“เบาดีครับ ใช้ง่าย แม่ผมชอบมาก บอกว่าไม่หนักเหมือนเครื่องดูดฝุ่นตัวใหญ่” – คุณพีท, อายุ 30
7. JIMMY BX7 Pro ★★★★☆
“เทคโนโลยีคูณสอง! ฆ่าเชื้อด้วย UV และอัลตราโซนิก พร้อมเซ็นเซอร์อัจฉริยะในหนึ่งเดียว”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับใครที่เป็นสายเทคโนโลยีและกำลังมองหาว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่มีนวัตกรรมล้ำ ๆ ต้องลองดู JIMMY BX7 Pro รุ่นนี้เลยค่ะ! ความพิเศษของมันคือเป็นเครื่องดูดไรฝุ่นที่ใช้เทคโนโลยีฆ่าเชื้อแบบผสมผสาน ทั้งแสง UV-C และคลื่นอัลตราโซนิก (Ultrasonic) ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าคลื่นเสียงความถี่สูงนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ของไรฝุ่นได้ ทำให้เป็นการแก้ปัญหาที่ลึกกว่าแค่การฆ่าตัวที่โตเต็มวัยแล้วค่ะ นอกจากนี้ยังมาพร้อมฟังก์ชันที่รุ่นท็อป ๆ เขามีกันครบ ทั้งลมร้อน 60°C, พลังดูดสูง 16,000 Pa และ Smart Dust Sensor ที่ช่วยปรับแรงดูดอัตโนมัติอีกด้วยค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: มีสาย
- พลังดูด: 16,000 Pa (700W)
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C, อัลตราโซนิก, ลมร้อน 60°C
- ฟีเจอร์พิเศษ: Smart Dust Sensor, หน้าจอ LED แสดงผล, หัวแปรงคอมโพสิต
- ระบบกรอง: Dual-cyclonic Filtration + HEPA
ฟังก์ชันครบครันเหมือนรุ่นท็อป (ลมร้อน, UV, Sensor)
พลังดูดสูงและมีหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะ
หัวแปรงแบบคอมโพสิตช่วยตบฝุ่นได้ดีและไม่ทำร้ายเนื้อผ้า
ระบบกรองแบบ Dual-cyclonic ยืดอายุ HEPA###ER##GF#### ราคาสูงในกลุ่มเครื่องดูดไรฝุ่นแบบมีสาย
ตัวเครื่องค่อนข้างหนัก
แบรนด์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างเท่าแบรนด์อื่น
รีวิวแบบเจาะลึก
หัวใจของ JIMMY BX7 Pro คือนวัตกรรมที่ใส่มาให้แบบไม่ยั้งค่ะ การใช้คลื่นอัลตราโซนิกเข้ามาเสริมกับแสง UV และลมร้อน ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจมาก เพราะมันเป็นการจัดการกับวงจรชีวิตของไรฝุ่นโดยตรง ไม่ใช่แค่การกำจัดเฉพาะหน้า เมื่อทำงานร่วมกับ Smart Dust Sensor ที่มีหน้าจอ LED แสดงระดับฝุ่นแบบเรียลไทม์ (เหมือนกับของ Dreame) ก็ยิ่งทำให้การทำความสะอาดของเรามีประสิทธิภาพและง่ายขึ้นมากค่ะ เราจะรู้ได้ทันทีว่าควรจะเน้นดูดซ้ำที่บริเวณไหนเป็นพิเศษ หัวแปรงก็ออกแบบมาได้ดี เป็นแบบคอมโพสิตที่ผสมระหว่างแถบยางและขนแปรงนุ่ม ทำให้ตบฝุ่นได้แรงแต่ก็อ่อนโยนต่อเนื้อผ้า ไม่ต้องกลัวว่าผ้าปูที่นอนแพง ๆ ของเราจะเสียหายเลยค่ะ
ระบบการกรองก็เป็นอีกจุดที่ทำได้ดีค่ะ เป็นแบบ Dual-cyclonic ที่ใช้พายุไซโคลนคู่ในการแยกฝุ่นหยาบกับฝุ่นละเอียดออกจากกันก่อนที่อากาศจะไปถึงแผ่นกรอง HEPA ซึ่งช่วยลดภาระของ HEPA ได้มาก ทำให้พลังดูดไม่ตกเร็วและไส้กรองไม่อุดตันง่ายค่ะ ตัวเครื่องมีโหมดให้เลือกใช้งาน 3 โหมด คือโหมดดูดอย่างเดียว, โหมดดูด+ตบ, และโหมดดูด+ตบ+UV ซึ่งเราสามารถเลือกใช้ให้เหมาะกับพื้นผิวและความสกปรกได้ค่ะ โดยรวมแล้ว JIMMY BX7 Pro เป็น เครื่องดูดไรฝุ่น ที่โดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีจริง ๆ ค่ะ ถ้าใครที่ชอบลองของใหม่ ๆ และอยากได้เครื่องที่ฟังก์ชันครบที่สุดในเครื่องเดียว รุ่นนี้เป็นคำตอบที่ใช่เลยค่ะ
คะแนนที่ได้
8.4/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบที่มีจอ บอกระดับฝุ่นค่ะ ใช้ง่ายดี รู้สึกไฮเทคมาก ลมร้อนก็ช่วยให้เตียงอุ่น ๆ นอนสบายดีค่ะ” – คุณเมย์, อายุ 33
“ฟังก์ชันเยอะดีครับ ลองใช้แล้วดูดฝุ่นออกมาได้เยอะจริง ๆ แต่ตัวเครื่องหนักไปหน่อยครับ” – คุณตั้ม, อายุ 39
8. Electrolux EFP31212 ★★★☆☆
“แบรนด์ดังที่ไว้ใจได้ มาพร้อมหัวดูดไรฝุ่น UV โดยเฉพาะ เพื่อความสะอาดที่มั่นใจได้”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับแฟน ๆ แบรนด์ Electrolux ที่เชื่อมั่นในคุณภาพและกำลังมองหาว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี รุ่น Electrolux EFP31212 ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ แม้ว่ามันจะเป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายแบบด้ามจับเหมือนกับ Dyson แต่ความพิเศษคือในชุดจะแถมหัวดูดสำหรับที่นอนโดยเฉพาะที่ชื่อว่า BedProPower™ ซึ่งมีแสง UV มาให้ในตัวเลยค่ะ ทำให้มันกลายเป็นเครื่องดูดไรฝุ่นแบบไฮบริดที่ใช้งานได้หลากหลาย ทั้งดูดพื้นทั่วไปและดูแลสุขอนามัยบนที่นอนได้ในเครื่องเดียวเลยค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: ไร้สาย (ด้ามจับ)
- ระบบฆ่าเชื้อ: UV-C (ในหัวดูด BedProPower™)
- ฟีเจอร์พิเศษ: แบตเตอรี่ Li-ion ใช้งานได้ 45 นาที, ระบบกรอง 4 ขั้นตอน, หัวดูดหลายแบบ
- ระบบกรอง: E10 filter
- อื่นๆ: สามารถตั้งเครื่องได้ด้วยตัวเอง
เป็นเครื่อง 2-in-1 ใช้ดูดได้ทั้งบ้าน
มีหัวดูดไรฝุ่นพร้อมแสง UV มาให้โดยเฉพาะ
แบตเตอรี่ใช้งานได้ค่อนข้างนาน
ดีไซน์สวยงาม ตั้งวางได้โดยไม่ต้องเจาะผนัง###ER##GF#### ไม่มีระบบลมร้อนหรือแรงตบ
พลังดูดอาจไม่สูงเท่าเครื่องดูดไรฝุ่น chuyên dụng
ราคาสูงเมื่อเทียบกับฟังก์ชันที่ได้
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดเด่นของ Electrolux EFP31212 คือความอเนกประสงค์และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ค่ะ การที่มีหัวดูด BedProPower™ UV มาให้ ทำให้เราไม่ต้องซื้อเครื่องแยก ช่วยประหยัดทั้งเงินและพื้นที่จัดเก็บค่ะ หัวดูดนี้ถูกออกแบบมาให้กำจัดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้บนที่นอน โซฟา หรือเบาะผ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อใช้ร่วมกับระบบการกรอง 4 ขั้นตอนที่ทาง Electrolux เคลมว่าดักจับฝุ่นขนาดเล็กได้ถึง 99.9% ก็ทำให้มั่นใจในความสะอาดได้เลยค่ะ ตัวเครื่องยังสามารถถอดออกมาเป็นเครื่องดูดฝุ่นมือถือขนาดเล็กได้ สำหรับทำความสะอาดในที่แคบ ๆ หรือในรถยนต์ค่ะ
ในด้านการออกแบบก็ทำได้ดีค่ะ ตัวเครื่องสามารถตั้งได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องหาที่พิงหรือเจาะผนังเพื่อแขวนเก็บเหมือนบางยี่ห้อ ทำให้สะดวกต่อการใช้งานและจัดเก็บมาก ๆ แบตเตอรี่เป็นแบบลิเธียมไอออนที่ให้พลังดูดสม่ำเสมอและใช้งานได้นานสูงสุดถึง 45 นาที (ในโหมดปกติ) ซึ่งก็เพียงพอต่อการทำความสะอาดบ้านขนาดกลางได้สบาย ๆ ค่ะ แม้ว่าฟังก์ชันอาจจะไม่ครบเครื่องเท่าเครื่องดูดไรฝุ่นโดยตรงอย่าง Dreame หรือ JIMMY แต่สำหรับคนที่ต้องการเครื่องดูดฝุ่นไร้สายคุณภาพดีจากแบรนด์ที่ไว้ใจได้ และมีฟังก์ชันดูดไรฝุ่นพร้อม UV เป็นของแถม Electrolux EFP31212 ก็เป็นคำตอบของคำถาม เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่น่าพิจารณามาก ๆ ค่ะ
คะแนนที่ได้
8.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบที่มันเป็น 2-in-1 ค่ะ ใช้ดูดพื้นแล้วเปลี่ยนหัวมาดูดเตียงต่อได้เลย สะดวกดีค่ะ แบรนด์ก็น่าเชื่อถือ” – คุณกิ๊ฟ, อายุ 45
“หัวดูด UV ใช้งานได้ดีครับ ดูดแล้วรู้สึกเตียงสะอาดขึ้น แต่ถ้าแรงดูดเยอะกว่านี้อีกนิดจะดีมากครับ” – คุณท็อป, อายุ 36
9. Dibea G22 ★★★☆☆
“พลังดูดแรงทะลุพิกัด 25,000 Pa แบตอึด ใช้งานนาน จบครบในเครื่องเดียว”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าใครเป็นสายที่เน้นพลังดูดแบบสุด ๆ ต้องมองมาที่ Dibea G22 เลยค่ะ! รุ่นนี้เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายอีกหนึ่งตัวที่น่าสนใจสำหรับคำถาม เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี เพราะให้พลังดูดมาสูงมากถึง 25,000 Pa ซึ่งถือว่าแรงที่สุดในลิสต์นี้เลยค่ะ ด้วยพลังดูดระดับนี้ ทำให้มันสามารถดูดสิ่งสกปรกที่ฝังลึกออกมาได้อย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นบนพรมหนา ๆ หรือที่นอนของเราค่ะ นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับหัวแปรงดูดไรฝุ่นไฟฟ้า (Electric Mite Brush) ที่ช่วยตบและปั่นไรฝุ่นออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เป็นเครื่องอเนกประสงค์ที่ทรงพลังมาก ๆ ค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: ไร้สาย (ด้ามจับ)
- พลังดูด: 25,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: ไม่มี (เน้นพลังดูด)
- ฟีเจอร์พิเศษ: แบตเตอรี่ใช้งานนาน 70 นาที, หน้าจอ LED, หัวแปรงไฟฟ้าหลายชนิด
- ระบบกรอง: HEPA แบบล้างได้
แบตเตอรี่อึดมาก ใช้งานได้นาน
มีหน้าจอ LED บอกสถานะแบตเตอรี่และแรงดูด
มาพร้อมหัวแปรงไฟฟ้าสำหรับไรฝุ่นโดยเฉพาะ
ราคาคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสเปก###ER##GF#### ไม่มีระบบ UV หรือลมร้อน
น้ำหนักค่อนข้างมากเมื่อใช้งานต่อเนื่อง
แบรนด์อาจยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดแข็งที่สุดของ Dibea G22 คือพลังดูดและแบตเตอรี่ค่ะ มอเตอร์ Brushless ที่ให้มาสามารถสร้างแรงดูดได้ถึง 25,000 Pa ในโหมดสูงสุด ซึ่งแรงพอที่จะดูดเม็ดทรายแมวหรือเศษอาหารที่ตกอยู่บนพื้นได้อย่างสบาย ๆ เมื่อนำมาใช้กับหัวแปรงดูดไรฝุ่น ก็ยิ่งมั่นใจได้ว่าจะสามารถดึงเอาไรฝุ่นออกมาได้เกลี้ยงแน่นอนค่ะ ส่วนแบตเตอรี่ก็ให้มาแบบจุใจ ใช้งานในโหมดปกติได้นานถึง 70 นาที ซึ่งนานมากพอที่จะทำความสะอาดบ้านทั้งหลังได้เลยค่ะ บนตัวเครื่องยังมีหน้าจอ LED ที่คอยบอกระดับแบตเตอรี่และโหมดความแรงที่ใช้อยู่ ทำให้เราวางแผนการทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น
ในชุดจะให้หัวแปรงมาหลายแบบ ทั้งหัวแปรงหลักสำหรับพื้นแข็งและพรม, หัวแปรงดูดไรฝุ่น, และหัวดูดซอกมุม ทำให้เป็นเครื่องที่ใช้งานได้ครบวงจรจริง ๆ ค่ะ ถังเก็บฝุ่นก็มีขนาดใหญ่และสามารถเททิ้งได้ง่าย ไส้กรอง HEPA ก็สามารถถอดล้างได้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาไปได้อีกค่ะ แม้ว่า Dibea G22 จะไม่มีฟังก์ชันฆ่าเชื้อด้วย UV หรือลมร้อน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับพลังดูดเป็นอันดับแรก และต้องการเครื่องที่แบตอึด ๆ ใช้งานได้นาน ๆ รุ่นนี้ก็เป็นคำตอบสำหรับ เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่น่าสนใจและคุ้มค่ากับราคามาก ๆ ค่ะ
คะแนนที่ได้
8.0/10
รีวิวสั้น ๆ
“แรงดูดสะใจมากค่ะ บ้านมีพรมเยอะ ใช้ตัวนี้แล้วรู้สึกสะอาดขึ้นเยอะเลย แบตก็อึดดีค่ะ” – คุณจอย, อายุ 38
“คุ้มราคามากครับ ได้แรงดูดขนาดนี้ในราคาไม่ถึงหมื่น หาที่ไหนไม่ได้แล้วครับ” – คุณเบนซ์, อายุ 32
10. Roborock Dyad Pro ★★★☆☆
“นวัตกรรมดูดเปียก-แห้ง พร้อมระบบทำความสะอาดตัวเอง ตอบโจทย์บ้านที่มีสัตว์เลี้ยง”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ปิดท้ายลิสต์ เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี กันด้วยรุ่นที่มีความพิเศษและแตกต่างจากรุ่นอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง นั่นก็คือ Roborock Dyad Pro ค่ะ! รุ่นนี้เป็นเครื่องดูดฝุ่นแบบดูดเปียกและแห้ง (Wet and Dry Vacuum) ที่แม้จะไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อดูดไรฝุ่นโดยตรง แต่ด้วยพลังดูดสูง 17,000 Pa และนวัตกรรมที่น่าสนใจ ทำให้มันสามารถนำมาประยุกต์ใช้ทำความสะอาดโซฟาผ้าหรือเบาะต่าง ๆ ได้ดีค่ะ จุดเด่นที่สุดคือระบบทำความสะอาดและเป่าแห้งตัวเองอัตโนมัติบนแท่นชาร์จ ทำให้เราไม่ต้องมานั่งแกะล้างแปรงเองให้วุ่นวาย เหมาะมากสำหรับบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงหรือเด็กเล็กที่มักจะทำน้ำหกเลอะเทอะบ่อย ๆ ค่ะ
คุณสมบัติเด่น
- ประเภท: ไร้สาย (ดูดเปียก-แห้ง)
- พลังดูด: 17,000 Pa
- ระบบฆ่าเชื้อ: ไม่มี (เน้นการขจัดคราบ)
- ฟีเจอร์พิเศษ: ระบบทำความสะอาดและเป่าแห้งตัวเอง, เซ็นเซอร์ตรวจจับคราบ, ปล่อยน้ำยาทำความสะอาดอัตโนมัติ
- การใช้งาน: ดูดและถูไปพร้อมกัน
มีระบบทำความสะอาดและเป่าแห้งแปรงอัตโนมัติ
เซ็นเซอร์อัจฉริยะช่วยปรับพลังดูดและการปล่อยน้ำ
ใช้งานง่าย ทำความสะอาดพื้นได้รวดเร็ว
แบรนด์ Roborock มีชื่อเสียงด้านนวัตกรรม###ER##GF#### ไม่สามารถใช้ดูดบนที่นอนโดยตรงได้
ไม่มีฟังก์ชัน UV, ลมร้อน หรือแรงตบสำหรับไรฝุ่น
ราคาสูงมาก
รีวิวแบบเจาะลึก
Roborock Dyad Pro มาพร้อมกับแปรงลูกกลิ้งคู่ที่หมุนสวนทางกัน ช่วยขจัดคราบฝังแน่นบนพื้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังสามารถดูดของเหลวอย่างนมที่หกหรือรอยเท้าเปียก ๆ ได้ในครั้งเดียวเลยค่ะ ความอัจฉริยะของมันอยู่ที่ DirTect™ Smart Sensor ที่สามารถตรวจจับความสกปรกของพื้น แล้วปรับทั้งพลังดูดและปริมาณการปล่อยน้ำให้เหมาะสมได้เองโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ยังมีช่องสำหรับใส่น้ำยาทำความสะอาด ซึ่งเครื่องจะปล่อยออกมาผสมกับน้ำสะอาดให้เอง ทำให้พื้นบ้านของเราทั้งสะอาดและหอมสดชื่นค่ะ
แม้ว่าการใช้งานหลักของมันจะอยู่บนพื้นแข็ง แต่เราก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับโซฟาผ้าหรือพรมที่มีคราบสกปรกได้ (ในโหมดดูดแห้ง) พลังดูด 17,000 Pa ก็แรงพอที่จะดึงเอาฝุ่นและขนสัตว์ที่เกาะอยู่ออกมาได้ดีค่ะ แต่ไฮไลท์จริง ๆ คือตอนที่เราใช้งานเสร็จ แค่วางเครื่องกลับบนแท่นชาร์จแล้วกดปุ่มเดียว เครื่องก็จะเริ่มกระบวนการล้างแปรงลูกกลิ้งด้วยน้ำสะอาด แล้วตามด้วยการเป่าลมร้อนจนแห้งสนิท ป้องกันการเกิดแบคทีเรียและกลิ่นอับได้อย่างสมบูรณ์แบบค่ะ ดังนั้น แม้จะไม่ใช่เครื่องดูดไรฝุ่นโดยตรง แต่ Dyad Pro ก็เป็นคำตอบสำหรับบ้านที่ต้องการความสะอาดขั้นสุดและเบื่อกับการต้องมานั่งทำความสะอาดอุปกรณ์เองค่ะ ถือเป็นนวัตกรรมที่น่าสนใจไม่แพ้ เครื่องดูดฝุ่น ทั่วไปเลยค่ะ
คะแนนที่ได้
7.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชีวิตง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ ลูกทำนมหกก็แค่เอาเครื่องไปดูดทีเดียวจบ ไม่ต้องใช้ผ้ามาเช็ดหลายรอบ แถมเครื่องล้างตัวเองได้อีก สุดยอดมากค่ะ” – คุณพลอย, อายุ 35
“เหมาะกับบ้านเลี้ยงหมามากครับ ดูดทั้งขนทั้งรอยเท้าเปียกได้สบาย ๆ แต่เสียดายที่ใช้กับเตียงนอนไม่ได้โดยตรงครับ” – คุณวิน, อายุ 41
มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญด้านโรคภูมิแพ้และสุขอนามัย
จากการศึกษาของ สถาบันโรคภูมิแพ้และหอบหืดแห่งอเมริกา (AAAAI) พบว่าไรฝุ่นเป็นหนึ่งในสารก่อภูมิแพ้ภายในอาคารที่พบได้บ่อยที่สุด การลดปริมาณไรฝุ่นในที่นอนและเครื่องนอนจึงเป็นขั้นตอนสำคัญในการควบคุมอาการภูมิแพ้ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านได้ให้ความเห็นตรงกันว่า
“การเลือก เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี นั้น ไม่ควรดูแค่พลังดูด (Suction Power) เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาถึงเทคโนโลยีเสริมที่ช่วยกำจัดไรฝุ่นได้อย่างครบวงจร ตั้งแต่การทำให้ไรฝุ่นหลุดออกจากเส้นใยผ้า ไปจนถึงการฆ่าเชื้อและป้องกันการเจริญเติบโตในระยะยาว”
ปัจจัยสำคัญที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้พิจารณาเป็นพิเศษ ได้แก่:
- ระบบการตบหรือสั่นสะเทือน (Tapping/Vibration): ไรฝุ่นใช้ขาเกี่ยวของมันยึดเกาะกับเส้นใยผ้าได้อย่างเหนียวแน่น การมีระบบตบความถี่สูงจะช่วยสลัดให้ไรฝุ่นและมูลของมันหลุดออกมาเพื่อให้เครื่องสามารถดูดเข้าไปได้ง่ายขึ้น
- แสงอัลตราไวโอเลต (UV-C Light): แสง UV-C ที่ความยาวคลื่นประมาณ 253.7 นาโนเมตร สามารถทำลาย DNA ของไรฝุ่น แบคทีเรีย และไวรัส ทำให้พวกมันตายและไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้
- ระบบลมร้อน (Hot Air): ความร้อนที่อุณหภูมิ 55-60°C สามารถฆ่าไรฝุ่นได้ และที่สำคัญคือช่วยลดความชื้นในที่นอน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของไรฝุ่น
- แผ่นกรอง HEPA (HEPA Filtration): เป็นปราการด่านสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในการดักจับไรฝุ่น มูลของมัน และสารก่อภูมิแพ้ขนาดเล็กจิ๋ว ไม่ให้ฟุ้งกระจายกลับออกมาสู่อากาศที่เราหายใจ
บทวิเคราะห์จากทีมงาน TOPLISTPLUS
“จากเทรนด์และข้อมูลทั้งหมด ทีมงานของเรามองว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่จะได้รับความนิยมสูงสุดในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป คือรุ่นที่สามารถผสานเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว เช่น การมีทั้งลมร้อน, UV-C และเซ็นเซอร์อัจฉริยะในเครื่องเดียว เหมือนในรุ่น Dreame D20 Pro หรือ JIMMY BX7 Pro เพราะมันคือการแก้ปัญหาที่ครบวงจรและมอบความมั่นใจสูงสุดให้กับผู้ใช้งานที่เป็นโรคภูมิแพ้ การลงทุนกับเครื่องที่มีฟังก์ชันครบครันจึงเป็นการลงทุนเพื่อสุขภาพที่คุ้มค่าในระยะยาวค่ะ”
เคล็ดลับเลือกซื้อ เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ให้เหมาะกับบ้านเราที่สุด
การจะตัดสินใจว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี อาจจะดูน่าปวดหัวเพราะมีตัวเลือกเยอะไปหมด แต่ไม่ต้องกังวลค่ะ! ลองใช้เช็กลิสต์ง่าย ๆ 5 ข้อนี้ดู รับรองว่าจะช่วยให้เพื่อน ๆ เลือกรุ่นที่ใช่ได้ง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ
- สำรวจไลฟ์สไตล์: มีสาย หรือ ไร้สาย?ถ้าบ้านมีหลายชั้น หรือต้องการความคล่องตัวสูงแบบสุด ๆ การเลือกรุ่น ไร้สาย อย่าง Dreame D20 Pro หรือ Dyson V8 Slim จะสะดวกกว่ามากค่ะ แต่ถ้าเน้นใช้งานในห้องนอนเป็นหลักและอยากได้พลังดูดที่สม่ำเสมอโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่ รุ่น มีสาย อย่าง Xiaomi หรือ Deerma CM980 ก็เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและทรงพลังค่ะ
- เช็กพลังดูดและแรงตบ: ยิ่งสูงยิ่งดี!มองหาตัวเลขพลังดูด (หน่วยเป็น Pa หรือ AW) และแรงตบ (หน่วยเป็น ครั้ง/นาที) ยิ่งตัวเลขสูง ก็ยิ่งหมายถึงประสิทธิภาพในการดึงไรฝุ่นที่ฝังลึกออกมาได้ดีขึ้นค่ะ สำหรับบ้านที่มีเด็กหรือผู้ป่วยภูมิแพ้ ควรเลือกรุ่นที่มีพลังดูดตั้งแต่ 12,000 Pa ขึ้นไปค่ะ
- ฟังก์ชันฆ่าเชื้อ: UV และ ลมร้อน ขาดไม่ได้!เพื่อให้มั่นใจว่ากำจัดได้ถึงต้นตอ ควรเลือกรุ่นที่มีทั้งแสง UV-C เพื่อฆ่าเชื้อโรค และ ลมร้อน (ประมาณ 50-60°C) เพื่อลดความชื้นและฆ่าไรฝุ่นไปพร้อมกันค่ะ ฟังก์ชันนี้สำคัญมากสำหรับสภาพอากาศร้อนชื้นแบบบ้านเราค่ะ
- ระบบการกรอง: มองหาแผ่นกรอง HEPAหัวใจสำคัญของการป้องกันภูมิแพ้คือการไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกลับออกมาค่ะ ควรมองหารุ่นที่ใช้แผ่นกรอง HEPA ซึ่งสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กได้ถึง 99.97% และถ้าเป็นรุ่นที่ไส้กรองสามารถถอดล้างได้ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวด้วยค่ะ
- การใช้งานและการดูแลรักษา: ต้องง่ายและสะดวกเลือกรุ่นที่น้ำหนักไม่มากเกินไป จับถนัดมือ และมีการออกแบบที่ทิ้งฝุ่นได้ง่ายโดยที่มือเราไม่ต้องสัมผัสกับฝุ่นโดยตรงค่ะ รุ่นที่มี Smart Sensor ก็จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นไปอีกขั้น เพราะเราไม่ต้องคอยปรับแรงดูดเองเลยค่ะ
ความแตกต่างระหว่างเครื่องดูดไรฝุ่นและเครื่องดูดฝุ่นทั่วไป
หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเราต้องซื้อ เครื่องดูดไรฝุ่น แยกต่างหาก ในเมื่อเราก็มี เครื่องดูดฝุ่น ธรรมดาอยู่แล้ว? คำตอบอยู่ที่ฟังก์ชันพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดไรฝุ่นโดยเฉพาะค่ะ
คุณสมบัติ | เครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะ | เครื่องดูดฝุ่นทั่วไป (แม้มีหัวดูดที่นอน) |
---|---|---|
ระบบตบ/สั่น | ✔️ มี (ความถี่สูง 8,000-12,000 ครั้ง/นาที) | ❌ ไม่มี (อาศัยแรงหมุนของแปรงเท่านั้น) |
แสง UV-C | ✔️ มี (เพื่อฆ่าเชื้อโรคและไรฝุ่น) | ❌ ส่วนใหญ่ไม่มี (ยกเว้นบางรุ่น) |
ระบบลมร้อน | ✔️ มี (เพื่อลดความชื้นและฆ่าไรฝุ่น) | ❌ ไม่มี |
การออกแบบหัวดูด | ออกแบบให้แนบสนิทกับพื้นผิวผ้าโดยเฉพาะ | เป็นหัวดูดเสริม อาจไม่แนบสนิทเท่า |
จะเห็นได้ว่า เครื่องดูดไรฝุ่น มีอาวุธครบมือกว่ามากในการต่อสู้กับเจ้าตัวร้ายที่มองไม่เห็นค่ะ ดังนั้นสำหรับบ้านที่มีคนเป็นภูมิแพ้ การลงทุนกับเครื่องดูดไรฝุ่นโดยเฉพาะจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ะ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี
- ถาม: ควรใช้เครื่องดูดไรฝุ่นบ่อยแค่ไหนคะ?
ตอบ: สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้หนัก ๆ แนะนำให้ดูดที่นอนและหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งค่ะ ส่วนโซฟา ผ้าม่าน หรือพรม อาจจะทำความสะอาดทุก ๆ 2-4 สัปดาห์ เพื่อควบคุมปริมาณไรฝุ่นไม่ให้สะสมมากเกินไปค่ะ
- ถาม: ใช้กับที่นอนเมมโมรี่โฟมหรือยางพาราได้ไหมคะ?
ตอบ: ใช้ได้ค่ะ แต่แนะนำให้ปิดฟังก์ชันลมร้อน หรือใช้โหมดที่ไม่มีลมร้อน เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนทำลายโครงสร้างของเมมโมรี่โฟมหรือยางพาราค่ะ ควรเน้นใช้พลังดูดและแสง UV จะปลอดภัยที่สุดค่ะ หากกำลังมองหา หมอนยางพารา ดีๆ สักใบ การดูแลรักษาความสะอาดก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันค่ะ
- ถาม: แสง UV จากเครื่องเป็นอันตรายต่อผิวหนังหรือดวงตาไหมคะ?
ตอบ: ไม่เป็นอันตรายค่ะ เพราะเครื่องดูดไรฝุ่นที่ดีส่วนใหญ่จะมีระบบเซ็นเซอร์ความปลอดภัย เมื่อเรายกเครื่องขึ้นห่างจากพื้นผิวเกิน 3-5 ซม. แสง UV จะดับลงอัตโนมัติทันทีค่ะ
- ถาม: ต้องเปลี่ยนไส้กรอง HEPA บ่อยแค่ไหน?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานและรุ่นของเครื่องค่ะ โดยทั่วไปแล้วไส้กรอง HEPA ที่ล้างได้ ควรนำมาล้างทำความสะอาดทุก ๆ 1-2 เดือน และควรเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 6-12 เดือน เพื่อประสิทธิภาพในการกรองที่ดีที่สุดค่ะ
บทสรุป: เลือก เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่ใช่สำหรับคุณ
มาถึงตรงนี้ เพื่อน ๆ น่าจะได้คำตอบในใจกันบ้างแล้วนะคะว่า เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นฮีโร่ประจำบ้านของเรา การเลือกซื้อไม่ได้มีคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงข้อเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความต้องการ งบประมาณ และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบ้านค่ะ ถ้าจะให้สรุปสั้น ๆ จากทั้ง 10 รุ่นที่เราคัดมาให้:
- ที่สุดของความครบเครื่อง: ต้องยกให้ Dreame D20 Pro ที่มีทั้งความไร้สาย, พลังดูดสูง, ลมร้อน, UV และเซ็นเซอร์อัจฉริยะ เหมาะกับบ้านที่ต้องการความสะอาดขั้นสุดและมีผู้ที่เป็นภูมิแพ้
- ที่สุดของความอเนกประสงค์: Dyson V8 Slim คือคำตอบ ด้วยพลังดูดในตำนานและหัวดูดที่เปลี่ยนได้หลากหลาย ทำให้ทำความสะอาดได้ทั้งบ้านในเครื่องเดียว
- ที่สุดของความคุ้มค่า: Xiaomi Dust Mites Vacuum และ Deerma CM980 ให้ฟังก์ชันที่จำเป็นมาครบทั้ง UV และลมร้อน ในราคาที่จับต้องได้ง่ายมาก ๆ ค่ะ
สุดท้ายนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการลงมือทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอค่ะ การมี เครื่องดูดไรฝุ่น ดี ๆ สักเครื่องเป็นเพียงตัวช่วยที่จะทำให้งานของเราง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ให้เพื่อน ๆ ได้เลือกซื้อเครื่องที่ถูกใจและช่วยให้ทุกคนในครอบครัวมีสุขภาพที่ดี ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้กันทุกคนนะคะ!
หมายเหตุจากผู้เขียน: เครื่องดูดไรฝุ่น ยี่ห้อไหนดี
- รายละเอียดเกี่ยวกับคุณสมบัติ, ราคา, หรือการรับประกันสินค้า ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ทางการของแบรนด์ Dreame, Dyson, Xiaomi, Deerma, Electrolux และแบรนด์อื่น ๆ หรือตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการอีกครั้งค่ะ
- คะแนน (เช่น 9.8/10) เป็นการประเมินโดยทีมงาน TOPLISTPLUS โดยอ้างอิงจากข้อมูลจำเพาะ, ฟังก์ชันการใช้งาน, ราคา, รีวิวจากผู้ใช้งานจริง และประสบการณ์การทดลองใช้งานของผู้เขียนค่ะ
- รีวิวสั้น ๆ จากผู้ใช้งาน (เช่น “คุณแม่แอน, อายุ 34”) เป็นเพียงตัวอย่างสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพการใช้งานในชีวิตประจำวันได้ชัดเจนยิ่งขึ้นค่ะ
- บทความนี้รวบรวมข้อมูล ณ ช่วงเวลาที่เผยแพร่ คุณสมบัติและราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคตตามโปรโมชั่นหรือการเปิดตัวสินค้ารุ่นใหม่ค่ะ