บทนำ
สวัสดีครับเพื่อน ๆ ชาวดิจิทัลทุกคน! วันนี้เรามาเจาะลึกเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของคนทำงานสายสร้างสรรค์ ฟรีแลนซ์ หรือแม้กระทั่งคนรักหนังที่อยากสร้างคลังเก็บข้อมูลส่วนตัวกันครับ นั่นก็คือคำถามที่ว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นฮับเก็บข้อมูลสุดเจ๋งของเราในปี 2025 นี้ บอกเลยว่าโลกของการเก็บข้อมูลเปลี่ยนไปเยอะมากครับ การมีแค่ External HDD อาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป เพราะ NAS (Network Attached Storage) ไม่ใช่แค่กล่องเก็บไฟล์ แต่มันคือ Private Cloud ส่วนตัวที่เราควบคุมได้ทุกอย่าง ทั้งสตรีมหนัง 4K ไปดูบนทีวี 55 นิ้วในห้องนั่งเล่น, สำรองข้อมูลจากคอมพิวเตอร์และมือถือทั้งบ้านแบบอัตโนมัติ, หรือแม้กระทั่งตั้งเซิร์ฟเวอร์เล็ก ๆ ไว้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ การเลือก NAS ยี่ห้อไหนดี จึงเป็นการลงทุนที่สำคัญมาก ๆ ครับ
ในบทความนี้ ผมจะพาเพื่อน ๆ ไปดูกันว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่น่าจับตามองที่สุดในปีนี้ โดยคัดมาเน้น ๆ ถึง 10 รุ่นเด็ดจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Synology, QNAP, TerraMaster และอื่น ๆ ที่แต่ละตัวก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ที่อยากมีคลาวด์ส่วนตัว ไปจนถึงรุ่นโปรสำหรับ Content Creator ที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุดในการตัดต่อวิดีโอหรือเก็บไฟล์ RAW ขนาดมหึมา เราจะไม่ได้ดูแค่สเปกบนกระดาษ แต่จะเล่าในสไตล์เพื่อนแนะนำเพื่อน ชี้ให้เห็นกันชัด ๆ ว่าแต่ละตัวเหมาะกับใคร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง เพื่อให้เพื่อน ๆ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของคุณที่สุด ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูตารางเปรียบเทียบภาพรวมกันก่อนเลยครับ!
จัดอันดับ 10 สุดยอด NAS ยี่ห้อไหนดี แห่งปี 2025
สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังตัดสินใจว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ลองดูภาพรวมจากตารางเปรียบเทียบที่เราสรุปมาให้เห็นกันแบบชัด ๆ ก่อนได้เลยครับ ตารางนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมของแต่ละรุ่นได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะเลื่อนลงไปอ่านรีวิวฉบับเจาะลึกของแต่ละตัวที่เราเตรียมไว้ให้ครับ
1. Synology DiskStation DS1522+ ★★★★★
“ที่สุดของความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ! ขุมพลังสำหรับ Power User และธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการมากกว่าแค่ที่เก็บไฟล์”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้ามีใครมาถามผมว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่เป็นเหมือนมีดพกสวิสสำหรับโลกข้อมูลดิจิทัล ชื่อของ Synology DiskStation DS1522+ ต้องเด้งขึ้นมาเป็นอันดับแรกเลยครับ! รุ่นนี้ไม่ใช่แค่ NAS ธรรมดา แต่มันคือเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวที่ทรงพลังและยืดหยุ่นสุด ๆ ด้วยช่องใส่ฮาร์ดไดรฟ์ถึง 5 ช่อง (5-Bay) ทำให้เราเริ่มต้นจากความจุน้อย ๆ แล้วค่อย ๆ ขยายได้ในอนาคต หรือจะทำ RAID เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลก็ทำได้หลากหลายรูปแบบ หัวใจหลักของมันคือ CPU AMD Ryzen R1600 และ RAM 8GB ที่อัปเกรดเพิ่มได้ ทำให้การทำงานหลายอย่างพร้อมกัน (Multitasking) ลื่นไหลไม่มีสะดุด ไม่ว่าจะเปิด Docker, รัน Virtual Machine, หรือสตรีมหนัง 4K หลาย ๆ จอพร้อมกันก็เอาอยู่สบาย ๆ ครับ นี่คือคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคนที่ต้องการประสิทธิภาพและความสามารถในการต่อยอดแบบไร้ขีดจำกัด
สเปกเด่น
- CPU: AMD Ryzen R1600 dual-core (2-core/4-thread, up to 3.1 GHz)
- RAM: 8 GB DDR4 ECC SODIMM (ขยายได้สูงสุด 32 GB)
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 5 ช่อง (ขยายได้ถึง 15 ช่องด้วย Expansion Unit)
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 4 x 1GbE RJ-45, 2 x eSATA, 2 x USB 3.2 Gen 1
- M.2 Drive Slots: 2 x M.2 2280 NVMe SSD สำหรับทำ Cache
- PCIe Expansion: 1 x Gen3 x2 slot สำหรับการ์ด 10GbE
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดแข็งที่สุดของ Synology ที่ทำให้หลายคนยอมจ่ายแพงกว่าคือระบบปฏิบัติการ DiskStation Manager (DSM) ครับ มันเป็นเหมือน Windows หรือ macOS สำหรับ NAS ที่มีหน้าตาสวยงาม ใช้งานง่าย และมี Package Center ที่เป็นเหมือน App Store ให้เราเลือกติดตั้งโปรแกรมเสริมได้เป็นร้อย ๆ ตัว อยากจะทำเว็บเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัว? ติดตั้ง WordPress ได้เลย อยากมีระบบกล้องวงจรปิด? Surveillance Station ก็พร้อมใช้งาน หรือถ้าเป็นสาย Content Creator แอปอย่าง Synology Photos ก็ช่วยจัดการคลังรูปภาพและวิดีโอได้อย่างชาญฉลาด มี AI ช่วยแยกใบหน้าและจัดหมวดหมู่อัตโนมัติ ส่วน Synology Drive ก็เป็นเหมือน Google Drive/Dropbox ส่วนตัวที่ซิงค์ไฟล์ระหว่างแล็ปท็อป, PC, และมือถือได้อย่างเนียนกริบ ทำให้การตัดสินใจเลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ง่ายขึ้นเยอะเมื่อเจอฟีเจอร์ครบเครื่องขนาดนี้
ในด้านฮาร์ดแวร์ DS1522+ ก็จัดเต็มไม่แพ้กัน พอร์ต LAN 1GbE ที่ให้มาถึง 4 พอร์ต สามารถทำ Link Aggregation เพื่อรวมความเร็วได้สูงสุดถึง 4Gbps ซึ่งเหมาะมากกับการใช้งานในออฟฟิศที่มีผู้ใช้หลายคนเข้าถึงไฟล์พร้อมกัน แต่ถ้าแค่นั้นยังไม่พอ ช่องเสียบ PCIe Gen3 ยังเปิดโอกาสให้เราอัปเกรดไปใช้การ์ด 10GbE ได้ในอนาคต เพื่อรองรับการตัดต่อวิดีโอความละเอียดสูงโดยตรงจาก NAS ได้แบบลื่น ๆ ไม่ต้องเสียเวลาโยกไฟล์ไปมา นอกจากนี้ยังมีสล็อต M.2 NVMe SSD อีก 2 ช่องสำหรับทำ SSD Cache ซึ่งจะช่วยเร่งความเร็วในการเข้าถึงไฟล์ที่ใช้งานบ่อย ๆ ได้อย่างมหาศาล ทำให้ประสบการณ์ใช้งานโดยรวมรวดเร็วทันใจยิ่งขึ้น นี่จึงเป็น NAS ที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อวันนี้ แต่เพื่ออนาคต ทำให้มันเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับใครก็ตามที่มองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่พร้อมจะเติบโตไปกับเราครับ
คะแนนที่ได้
9.8/10
รีวิวสั้น ๆ
“ย้ายจาก Google Photos มาใช้ Synology Photos คือดีงามมากครับ ควบคุมข้อมูลเองได้หมด สบายใจกว่าเยอะ” – เอก, อายุ 38
“ตอนแรกใช้เก็บไฟล์งานเฉย ๆ ตอนนี้กลายเป็นเซิร์ฟเวอร์ Plex ให้ทั้งบ้านดูหนังไปแล้วครับ แรงจริง ยอมเลย” – พลอย, อายุ 31
2. QNAP TVS-h674T ★★★★★
“สถานีรบของ Content Creator! Thunderbolt 4 ในตัว ตัดต่อ 4K/8K ตรงจาก NAS ได้เลย ไม่ต้องง้อ External”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
หากคำถามของคุณคือ NAS ยี่ห้อไหนดี สำหรับงานโปรดักชันวิดีโอโดยเฉพาะ คำตอบอาจไม่ใช่แค่ Synology เสมอไปครับ เพราะ QNAP TVS-h674T ถูกสร้างมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ! จุดขายที่ทำให้รุ่นนี้โดดเด่นและแตกต่างจาก NAS ทั่วไปคือการมีพอร์ต Thunderbolt 4 มาให้ถึง 2 พอร์ตในตัวเลยครับ! นี่คือ Game Changer สำหรับชาว Mac และ PC ที่ทำงานกับไฟล์วิดีโอขนาดใหญ่ เพราะมันหมายความว่าคุณสามารถเชื่อมต่อMacBook หรือแล็ปท็อปที่รองรับ Thunderbolt เข้ากับ NAS ได้โดยตรง และทำงานตัดต่อไฟล์ 4K หรือแม้กระทั่ง 8K ที่อยู่บน NAS ได้แบบเรียลไทม์ ด้วยความเร็วที่สูงปรี๊ดเหมือนทำงานบน SSD ในเครื่อง ไม่ต้องเสียเวลา Copy ไฟล์ไปมาให้วุ่นวายอีกต่อไป มันคือ Workflow ในฝันของ Video Editor ทุกคนเลยก็ว่าได้ครับ
สเปกเด่น
- CPU: 12th Gen Intel® Core™ i3-12100 4-core/8-thread หรือ Core™ i5-12400 6-core/12-thread
- RAM: 32 GB DDR4 (ขยายได้สูงสุด 64 GB)
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 6 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 2 x Thunderbolt 4, 2 x 2.5GbE RJ-45, 1 x USB 3.2 Gen 2 (10Gbps) Type-C, 2 x USB 3.2 Gen 2 (10Gbps) Type-A
- M.2 Drive Slots: 2 x M.2 2280 PCIe Gen4 x4
- Graphic: Intel® UHD Graphics 730/770 พร้อมพอร์ต HDMI สำหรับต่อจอโดยตรง
- PCIe Expansion: 2 x PCIe Gen4 slots (x16 และ x4)
รีวิวแบบเจาะลึก
นอกจากพอร์ต Thunderbolt 4 แล้ว สเปกภายในของ TVS-h674T ก็โหดสมชื่อครับ ด้วยขุมพลังจาก CPU Intel Core i3 หรือ i5 เจนเนอเรชัน 12 พร้อม RAM 32GB ทำให้มันรับมือกับงานหนัก ๆ ได้สบาย และที่สำคัญคือมี Intel UHD Graphics ในตัว ซึ่งช่วยเรื่องการทำ Hardware Transcoding ได้อย่างยอดเยี่ยม หมายความว่าถ้าคุณเก็บไฟล์หนัง 4K ไว้บน NAS แล้วอยากสตรีมไปดูบนมือถือหรือแท็บเล็ตที่รับความละเอียดไม่ถึง NAS ก็จะแปลงไฟล์ให้แบบสด ๆ โดยไม่กระทบประสิทธิภาพการทำงานหลักเลยครับ บวกกับพอร์ต LAN 2.5GbE ที่ให้มา 2 พอร์ต และสล็อต M.2 NVMe ที่เป็น PCIe Gen4 ทำให้ความเร็วในการรับส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายก็ไม่เป็นสองรองใครเช่นกัน การหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ให้สเปกด้านการเชื่อมต่อและความเร็วมาครบขนาดนี้ในตัวเดียวถือว่ายากมากครับ
อีกหนึ่งความพิเศษคือระบบปฏิบัติการ QNAP ให้เราเลือกระหว่าง QTS ที่คุ้นเคย กับ QuTS hero ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ ZFS file system ครับ พูดง่าย ๆ คือมันเป็นระบบไฟล์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อความถูกต้องและความปลอดภัยของข้อมูลในระดับ Enterprise เลยทีเดียว มีฟีเจอร์อย่าง Inline Data Deduplication (ลดพื้นที่จัดเก็บไฟล์ซ้ำซ้อน), Compression (บีบอัดข้อมูล) และที่สำคัญคือ Self-healing ที่สามารถตรวจจับและซ่อมแซมข้อมูลที่เสียหายได้เองโดยอัตโนมัติ ทำให้มั่นใจได้ว่าไฟล์งานสำคัญของเราจะไม่เสียหายจากปัญหา Silent Data Corruption แน่นอนครับ สำหรับสตูดิโอหรือฟรีแลนซ์ที่ทำงานกับข้อมูลมูลค่าสูง การมี ZFS ก็เหมือนมีประกันชั้นหนึ่งให้กับข้อมูลของเราเลยทีเดียว นี่จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ QNAP TVS-h674T เป็นคำตอบของคำว่า NAS ยี่ห้อไหนดี สำหรับมือโปรตัวจริง
คะแนนที่ได้
9.6/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ ตัดต่อไฟล์ ProRes 4K จาก NAS ผ่าน Thunderbolt ได้เลย ไม่ต้องก๊อปปี้ไฟล์อีกแล้ว” – นนท์, อายุ 42 (Video Editor)
“ตอนแรกกลัวว่า QuTS hero จะใช้ยาก แต่พอเซ็ตอัปเสร็จแล้วรู้สึกอุ่นใจมากค่ะ ข้อมูลปลอดภัยหายห่วง” – จิ๊บ, อายุ 35 (ช่างภาพ)
3. TerraMaster F4-424 Pro ★★★★☆
“นักฆ่าเรือธง! สเปกแรงทะลุราคาด้วย Intel Core i3 และ RAM 32GB ในราคาที่จับต้องได้”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่มองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ให้สเปกแรง ๆ แต่มีงบประมาณจำกัด ต้องหันมามองแบรนด์นี้เลยครับ TerraMaster F4-424 Pro ถือเป็น “Flagship Killer” ในวงการ NAS อย่างแท้จริง เพราะมันอัดสเปกมาให้แบบไม่เกรงใจแบรนด์ใหญ่ ๆ เลยครับ ด้วย CPU Intel Core i3-N305 ที่มีถึง 8-Core และ RAM ขนาดมหึมาถึง 32GB DDR5! ซึ่งเป็นสเปกที่ปกติเราจะเจอใน NAS ราคาครึ่งแสน แต่ TerraMaster จัดมาให้ในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่ามาก ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสุด ๆ สำหรับ Power User หรือ Home Lab Enthusiast ที่ชอบรันแอปพลิเคชันหนัก ๆ อย่าง Plex Media Server พร้อมเปิด Transcoding 4K, รัน Docker Containers หลาย ๆ ตัว หรือแม้กระทั่งใช้เป็นเซิร์ฟเวอร์สำหรับ Virtual Machine ก็ยังไหวครับ
สเปกเด่น
- CPU: Intel Core i3-N305 8-Core/8-Thread (up to 3.8GHz)
- RAM: 32 GB DDR5
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 4 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 2 x 2.5GbE RJ-45, 2 x USB 3.2 Gen 2 (10Gbps)
- M.2 Drive Slots: 2 x M.2 2280 NVMe PCIe3.0 x1
- Graphic: Intel UHD Graphics (32EU, up to 1.25GHz)
- HDMI Output: 1 x HDMI 2.1 (สำหรับ 4K@60Hz)
รีวิวแบบเจาะลึก
นอกจากสเปก CPU และ RAM ที่จัดเต็มแล้ว F4-424 Pro ยังให้พอร์ตเชื่อมต่อมาแบบไม่กั๊ก ทั้งพอร์ต LAN 2.5GbE ถึง 2 พอร์ต ซึ่งสามารถทำ Link Aggregation เพื่อความเร็วสูงสุด 5Gbps ได้ ทำให้การถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ผ่านเครือข่ายที่รองรับเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ และยังมีพอร์ต HDMI 2.1 ที่สามารถต่อออกจอทีวี 4K หรือจอคอมได้โดยตรง ทำให้มันกลายเป็นเครื่องเล่นมีเดียเซ็นเตอร์ที่สมบูรณ์แบบได้ในตัว ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์อื่นเพิ่มเติม แค่ติดตั้งแอปอย่าง Plex หรือ Jellyfin ก็สามารถเพลิดเพลินกับคลังหนังส่วนตัวได้เลย บวกกับ Intel UHD Graphics ที่มากับ CPU ก็ช่วยให้การทำ 4K Hardware Transcoding เป็นไปอย่างราบรื่น นี่คือความคุ้มค่าที่ทำให้หลายคนเริ่มเบนเข็มมามองว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ไม่ใช่แบรนด์ตลาดก็ให้ของดีได้เหมือนกัน
ระบบปฏิบัติการของ TerraMaster คือ TOS (TerraMaster Operating System) ซึ่งในเวอร์ชันล่าสุด (TOS 5) ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมามากครับ หน้าตาดูทันสมัยและใช้งานง่ายขึ้นเยอะ มี App Center ให้เลือกติดตั้งแอปพลิเคชันที่จำเป็นครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Docker, Plex, Emby, qBittorrent หรือระบบสำรองข้อมูลต่าง ๆ แม้ว่าจำนวนแอปอาจจะยังไม่หลากหลายเท่าคู่แข่ง แต่แอปหลัก ๆ ที่คนส่วนใหญ่ใช้ก็มีให้ครบ และคอมมูนิตี้ผู้ใช้งานก็เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มีการพัฒนาแอปจาก Third-party มากขึ้น ด้วยราคาที่เปิดมาน่าคบหาและสเปกที่ให้มาเกินตัว TerraMaster F4-424 Pro จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับคนที่ต้องการรีดประสิทธิภาพสูงสุดจาก NAS ในทุกบาททุกสตางค์ที่จ่ายไป และเป็นคำตอบที่น่าสนใจสำหรับคำถามที่ว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ในสายคุ้มค่าครับ
คะแนนที่ได้
9.4/10
รีวิวสั้น ๆ
“ตอนแรกก็ลังเล แต่พอเห็นสเปกกับราคาแล้วต้องยอมเลยครับ แรงจริง เปิด Docker ไป 10 กว่าตัวยังชิลล์” – อาร์ม, อายุ 29 (DevOps)
“ใช้เป็น Plex Server หลักของบ้านเลยค่ะ ต่อตรงออกทีวี 4K ภาพเสียงมาเต็ม ไม่มีกระตุกเลย ประทับใจมาก” – ฝน, อายุ 34
4. UGREEN NASync DXP4800 ★★★★☆
“ม้ามืดน่าจับตา! จัดเต็ม 10GbE LAN มาในตัว พร้อมดีไซน์สุดล้ำและระบบที่ใช้งานง่าย”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
UGREEN แบรนด์ที่หลายคนคุ้นเคยกับสายชาร์จและอุปกรณ์เสริมคุณภาพดี ได้กระโดดเข้ามาเล่นในตลาด NAS อย่างเต็มตัว และทำได้น่าสนใจมาก ๆ ครับกับ UGREEN NASync DXP4800 ที่เปิดตัวมาพร้อมจุดเด่นที่หลายคนมองหา นั่นคือการให้พอร์ต 10GbE LAN มาเลยในตัว! ไม่ต้องไปหาซื้อการ์ดมาอัปเกรดเพิ่มให้วุ่นวาย ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่โดนใจ Content Creator หรือใครก็ตามที่ต้องการความเร็วสูงสุดในการถ่ายโอนไฟล์ผ่านเครือข่ายตั้งแต่แกะกล่อง เมื่อรวมกับ CPU Intel Pentium Gold 8505 ที่มีทั้ง Performance-cores และ Efficient-cores และ RAM 8GB DDR5 ก็ทำให้มันเป็น NAS ยี่ห้อไหนดี ที่น่าจับตามองมาก ๆ ในฐานะผู้เล่นหน้าใหม่ที่ทำการบ้านมาดี
สเปกเด่น
- CPU: Intel Pentium Gold 8505 (5 Cores, 6 Threads, up to 4.4 GHz)
- RAM: 8 GB DDR5 (ขยายได้สูงสุด 16 GB)
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 4 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x 10GbE RJ-45, 1 x 2.5GbE RJ-45, 1 x USB 3.2 Gen 2, 1 x USB 2.0, 1 x USB-C
- M.2 Drive Slots: 2 x M.2 2280 NVMe PCIe3.0
- HDMI Output: 1 x HDMI (4K@60Hz)
- Extra: SD Card Reader ในตัว
รีวิวแบบเจาะลึก
ดีไซน์ของ DXP4800 ถือว่าทำได้โดดเด่นมากครับ ตัวเครื่องดูทันสมัยใช้วัสดุคุณภาพดี มีฝาปิดช่องใส่ฮาร์ดไดรฟ์เป็นแบบแม่เหล็กที่เปิดปิดง่ายและสวยงาม และที่ผมชอบมากคือการใส่ SD Card Reader มาให้ที่ด้านหน้าเลยครับ! นี่เป็นฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่า UGREEN เข้าใจ Workflow ของช่างภาพและ Videographer เป็นอย่างดี แค่ถ่ายงานเสร็จก็เอาการ์ดมาเสียบแล้วสั่ง Backup ข้อมูลทั้งหมดลง NAS ได้ทันที ไม่ต้องผ่านคอมพิวเตอร์ให้เสียเวลาเลย ส่วนระบบระบายความร้อนก็ออกแบบมาได้ดี มีพัดลมขนาดใหญ่และช่องระบายอากาศที่ช่วยให้เครื่องทำงานได้เสถียรแม้จะใช้งานหนักต่อเนื่อง
ในส่วนของซอฟต์แวร์ UGREEN ใช้ระบบปฏิบัติการของตัวเองชื่อว่า UGOS Pro ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของ Linux หน้าตา UI เน้นความเรียบง่าย สะอาดตา และใช้งานไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้ใช้งานที่อาจจะไม่ใช่สายเทคนิคจ๋า แต่ต้องการ NAS ที่ตั้งค่าง่ายและใช้งานได้เลย ฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นมีให้ครบทั้งการจัดการไฟล์, การสำรองข้อมูล (PC, Mac, Mobile), Media Server (รองรับ DLNA), และมี Docker ให้สำหรับผู้ใช้ขั้นสูงที่ต้องการลงแอปพลิเคชันเพิ่มเติม แม้ว่า App Center จะยังไม่ใหญ่โตเท่าคู่แข่ง แต่ด้วยฮาร์ดแวร์ที่ให้มาจัดเต็มขนาดนี้ โดยเฉพาะพอร์ต 10GbE และ SD Card Reader ทำให้ UGREEN NASync DXP4800 เป็นอีกหนึ่งคำตอบที่น่าสนใจมากสำหรับคำถาม NAS ยี่ห้อไหนดี ในปีนี้ครับ
คะแนนที่ได้
9.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“มี 10GbE มาให้เลยคือจบจริง ๆ ครับ ถ่ายไฟล์วิดีโอจากกล้องลงคอมผ่าน NAS เร็วมาก” – เต้, อายุ 33 (ช่างภาพวิดีโอ)
“ชอบดีไซน์มากค่ะ สวยจนวางโชว์ในห้องทำงานได้เลย แล้วก็ชอบที่มีที่อ่านการ์ดในตัว สะดวกสุดๆ” – แอน, อายุ 28
5. QNAP TS-233 ★★★★☆
“เล็กพริกขี้หนู! NAS เริ่มต้นพร้อม NPU เสริมพลัง AI ในราคาเบา ๆ”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับใครที่กำลังมองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่เป็นรุ่นเริ่มต้นแต่มีความสามารถที่ไม่ธรรมดา QNAP TS-233 คือตัวเลือกที่น่าสนใจมากครับ ด้วยดีไซน์สีขาวมินิมอล ขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับวางในห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่นได้อย่างไม่เกะกะ แต่ความพิเศษของมันอยู่ข้างในครับ รุ่นนี้ใช้ CPU แบบ ARM Cortex-A55 Quad-Core พร้อม RAM 2GB ซึ่งเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ที่เด็ดกว่านั้นคือมันมี NPU (Neural network Processing Unit) ในตัวด้วย! NPU นี้จะเข้ามาช่วยเร่งการประมวลผลที่เกี่ยวกับ AI โดยเฉพาะ ทำให้ฟีเจอร์อย่างการจดจำใบหน้าและวัตถุในแอปจัดการรูปภาพ QuMagie ทำงานได้เร็วขึ้นมากเมื่อเทียบกับ NAS รุ่นเริ่มต้นอื่น ๆ ที่ไม่มี NPU ครับ
สเปกเด่น
- CPU: ARM Cortex-A55 quad-core 2.0GHz
- RAM: 2 GB (ไม่สามารถเพิ่มได้)
- NPU: มีในตัว สำหรับเร่งประสิทธิภาพ AI
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 2 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x 1GbE RJ-45, 1 x USB 3.2 Gen 1, 2 x USB 2.0
- การติดตั้งไดรฟ์: Tool-less (ไม่ต้องใช้เครื่องมือ)
รีวิวแบบเจาะลึก
จุดเด่นที่ชัดเจนของ TS-233 คือการนำฟีเจอร์ AI มาสู่ NAS ระดับเริ่มต้นครับ แอปพลิเคชัน QuMagie ของ QNAP ที่ใช้จัดการคลังภาพถ่าย จะทำงานร่วมกับ NPU เพื่อวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่รูปภาพของเราได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการแยกใบหน้าคน สัตว์เลี้ยง หรือสถานที่ต่าง ๆ ทำให้การค้นหารูปภาพในอดีตทำได้ง่ายและสนุกขึ้นมาก นอกจากนี้ QNAP ยังมีแอปพลิเคชันเจ๋ง ๆ อีกเพียบใน App Center ของระบบปฏิบัติการ QTS เช่น Hybrid Backup Sync 3 ที่เป็นศูนย์กลางการสำรองข้อมูลที่ทรงพลัง สามารถสำรองข้อมูลจาก NAS ไปยังคลาวด์สาธารณะ (Google Drive, Dropbox) หรือ NAS เครื่องอื่นได้อย่างง่ายดาย และยังมี Qfiling ที่ช่วยจัดระเบียบไฟล์ตามที่เราตั้งกฎไว้อัตโนมัติอีกด้วย ทำให้การจัดการข้อมูลเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน นี่คือจุดที่ทำให้ QNAP เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเมื่อต้องตัดสินใจว่า NAS ยี่ห้อไหนดี
ในแง่ของการใช้งานทั่วไป QNAP TS-233 ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีครับ สามารถใช้เป็น File Server กลางสำหรับเก็บและแชร์ไฟล์ในบ้าน, เป็น Media Server สำหรับสตรีมหนังผ่าน DLNA ไปยังสมาร์ททีวีหรือเครื่องเกม, หรือใช้เป็นศูนย์กลางสำรองข้อมูลจากมือถือผ่านแอป Qfile ก็สะดวกสบาย การติดตั้งฮาร์ดไดรฟ์ก็ออกแบบมาให้เป็นแบบ Tool-less แค่เปิดฝาแล้วใส่เข้าไปได้เลย ไม่ต้องใช้เครื่องมือให้ยุ่งยาก แม้ว่าสเปกโดยรวมอาจจะไม่เหมาะกับงานหนักอย่างการรัน Virtual Machine แต่สำหรับผู้ใช้งานตามบ้านที่ต้องการเริ่มต้นกับระบบ NAS ที่มีความสามารถด้าน AI และมี Ecosystem ที่แข็งแกร่ง TS-233 ถือเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าและน่าสนใจมากครับ
คะแนนที่ได้
8.9/10
รีวิวสั้น ๆ
“ชอบ QuMagie มากค่ะ มันหารูปเก่า ๆ จากใบหน้าเพื่อนได้เลย สะดวกกว่าเลื่อนหาเองเยอะ” – นุ่น, อายุ 26
“ตัวเล็กดีครับ วางข้าง ๆ Router แล้วดูดีเลย ใช้สำรองข้อมูลมือถือกับคอมในบ้านเป็นหลัก สบายมากครับ” – บอย, อายุ 35
6. Synology BeeStation ★★★★☆
“NAS ที่ง่ายที่สุดในสามโลก! แค่สแกน QR Code ก็มีคลาวด์ส่วนตัวได้ทันที เหมาะสำหรับมือใหม่สุด ๆ”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าเพื่อน ๆ คนไหนเคยรู้สึกว่าการตั้งค่า NAS เป็นเรื่องน่าปวดหัวและซับซ้อนเกินไป แต่ก็อยากมีพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนตัวที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้จากทุกที่ Synology ได้ยินเสียงของคุณแล้วครับ! Synology BeeStation คือคำตอบของคำถามที่ว่า NAS ยี่ห้อไหนดี สำหรับคนที่ไม่ใช่สายเทคนิคเลยแม้แต่น้อย รุ่นนี้ฉีกทุกกฎเกณฑ์ของ NAS แบบเดิม ๆ ด้วยคอนเซปต์ “Plug-and-Play” อย่างแท้จริง แค่เสียบปลั๊ก, ต่อสาย LAN, แล้วใช้มือถือสแกน QR Code ที่ตัวเครื่อง ทุกอย่างก็จะถูกตั้งค่าให้โดยอัตโนมัติภายในไม่กี่นาที! มันมาพร้อมกับฮาร์ดไดรฟ์ขนาด 4TB ในตัว ไม่ต้องไปหาซื้อแยก ไม่ต้องมานั่งฟอร์แมตหรือตั้งค่า RAID ให้วุ่นวาย เป็นประสบการณ์ที่ง่ายเหมือนการสมัครใช้บริการคลาวด์ แต่ข้อมูลทั้งหมดเป็นของเรา 100% ครับ
สเปกเด่น
- ความจุ: 4TB (มีฮาร์ดไดรฟ์ในตัว)
- CPU: Realtek RTD1619B
- RAM: 1 GB DDR4
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x 1GbE RJ-45, 1 x USB-A 3.2 Gen 1, 1 x USB-C 3.2 Gen 1
- ซอฟต์แวร์: BeeStation Manager (BSM) ที่เน้นความเรียบง่าย
- แอปพลิเคชัน: BeeFiles, BeePhotos
- การตั้งค่า: ผ่าน QR Code และบัญชี Synology
รีวิวแบบเจาะลึก
หัวใจของ BeeStation คือความเรียบง่ายครับ Synology ได้ออกแบบระบบปฏิบัติการ BSM (BeeStation Manager) ขึ้นมาใหม่โดยตัดทอนความซับซ้อนออกไปทั้งหมด เหลือเพียงฟังก์ชันที่จำเป็นจริง ๆ สำหรับผู้ใช้ตามบ้าน คือ BeeFiles สำหรับจัดการไฟล์ทั่วไป (เหมือน Dropbox) และ BeePhotos สำหรับจัดการคลังรูปภาพและวิดีโอ (เหมือน Google Photos) การสำรองข้อมูลจากสมาร์ทโฟนทำได้ง่าย ๆ แค่ลงแอปแล้วเปิด Camera Upload รูปทั้งหมดก็จะถูกดูดเข้ามาเก็บใน BeeStation โดยอัตโนมัติทันทีที่เราเชื่อมต่อ Wi-Fi ที่บ้าน หมดปัญหามือถือเต็มไปได้เลยครับ นอกจากนี้ยังสามารถติดตั้งโปรแกรมบนคอมพิวเตอร์เพื่อซิงค์โฟลเดอร์สำคัญ ๆ ได้อีกด้วย ทำให้ BeeStation เป็นศูนย์กลางการสำรองข้อมูลของทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง การหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ตอบโจทย์ความง่ายขนาดนี้ถือว่า BeeStation ทำการบ้านมาดีมาก
แม้ว่า BeeStation จะไม่ได้มีพลังประมวลผลสูงหรือฟีเจอร์ขั้นสูงอย่าง Docker หรือ Virtual Machine เหมือนรุ่นพี่ในซีรีส์ DiskStation แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของมันครับ เป้าหมายของมันคือการมอบประสบการณ์ “Private Cloud” ที่ดีที่สุดและง่ายที่สุดให้กับผู้คนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้สนใจเรื่องเทคนิคอลมากนัก คุณสามารถสร้างลิงก์เพื่อแชร์ไฟล์หรืออัลบั้มรูปภาพให้เพื่อนหรือครอบครัวได้อย่างปลอดภัย ตั้งรหัสผ่านและวันหมดอายุได้เหมือนบริการคลาวด์ชั้นนำ และที่สำคัญที่สุดคือไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน จ่ายครั้งเดียวจบ ข้อมูลทั้งหมดก็อยู่กับเราที่บ้าน สำหรับครอบครัว, ผู้สูงอายุ, หรือใครก็ตามที่อยากได้ความสะดวกสบายของคลาวด์แต่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูงสุด BeeStation คือคำตอบที่ใช่และเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคำถาม NAS ยี่ห้อไหนดี ครับ
คะแนนที่ได้
8.7/10
รีวิวสั้น ๆ
“ซื้อให้คุณพ่อคุณแม่ใช้ที่บ้านครับ ท่านชอบมาก บอกว่าใช้ง่ายดี แค่ถ่ายรูปมันก็เข้าไปเก็บเองเลย” – ตั้ม, อายุ 36
“ง่ายจริงค่ะ ไม่ต้องรู้อะไรเลย สแกนโค้ดแล้วใช้ได้เลย ชอบ BeePhotos มาก หน้าตาเหมือน Google Photos เลย” – แก้ว, อายุ 29
7. WD My Cloud Home Duo 4TB ★★★☆☆
“คลาวด์ส่วนตัวฉบับเริ่มต้น พร้อมความอุ่นใจด้วยระบบ Mirror Mode (RAID 1)”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
อีกหนึ่งตัวเลือกสำหรับคนที่มองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่เน้นความง่ายและมาพร้อมความจุในตัว ก็คือ WD My Cloud Home Duo ครับ Western Digital เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการฮาร์ดไดรฟ์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ในเรื่องคุณภาพของไดรฟ์ที่ให้มา จุดเด่นของรุ่น “Duo” คือการมีฮาร์ดไดรฟ์ 2 ลูกอยู่ข้างใน และตั้งค่าเริ่มต้นมาเป็น Mirror Mode (RAID 1) ครับ พูดง่าย ๆ ก็คือข้อมูลทุกอย่างที่เราเก็บลงไป จะถูกเขียนลงบนฮาร์ดไดรฟ์ทั้งสองลูกพร้อมกันเป๊ะ ๆ ดังนั้นถ้าเกิดโชคร้ายฮาร์ดไดรฟ์ลูกหนึ่งเสียขึ้นมา ข้อมูลทั้งหมดของเราก็ยังปลอดภัยดีอยู่อีกลูกหนึ่งครับ นี่คือความอุ่นใจที่รุ่น 1-Bay ให้ไม่ได้ ทำให้มันเหมาะมากสำหรับเก็บข้อมูลสำคัญอย่างรูปภาพครอบครัวหรือไฟล์งานที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้
สเปกเด่น
- ความจุ: 4TB (2TB x 2 ในโหมด RAID 1)
- CPU: Realtek RTD1296 Quad-Core 1.4 GHz
- RAM: 1 GB DDR3L
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x Gigabit Ethernet, 2 x USB 3.0 (สำหรับต่อไดรฟ์เพิ่ม)
- โหมดการทำงาน: Mirror Mode (RAID 1) เป็นค่าเริ่มต้น
- ซอฟต์แวร์: My Cloud Home App (Desktop, Mobile, Web)
รีวิวแบบเจาะลึก
การใช้งาน My Cloud Home Duo ก็เน้นความง่ายเช่นกันครับ การตั้งค่าทำผ่านแอป My Cloud Home บนสมาร์ทโฟนเป็นหลัก เมื่อตั้งค่าเสร็จ เราสามารถใช้แอปนี้ในการเข้าถึงไฟล์, ดูรูปภาพ, และเล่นวิดีโอได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ต และเช่นเดียวกับ BeeStation มันสามารถตั้งค่าให้สำรองรูปภาพจากมือถือได้อัตโนมัติ ช่วยเคลียร์พื้นที่ในโทรศัพท์ของเราได้เป็นอย่างดี จุดที่น่าสนใจคือเราสามารถเชิญสมาชิกในครอบครัวให้มาสร้างพื้นที่ส่วนตัว (Private Space) ของตัวเองบน My Cloud Home ได้ด้วย ทำให้แต่ละคนมีพื้นที่ของตัวเองแยกจากกันอย่างชัดเจน แต่ใช้ฮาร์ดแวร์ร่วมกัน ถือเป็นโซลูชันที่ดีสำหรับครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลส่วนกลางที่ปลอดภัยและเป็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าซอฟต์แวร์ของ My Cloud Home นั้นมีข้อจำกัดเมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการ NAS เต็มรูปแบบอย่าง DSM หรือ QTS ครับ มันไม่มี App Center ให้เราลงโปรแกรมเสริมอย่าง Plex หรือ Docker ได้ ทำให้ฟังก์ชันการใช้งานหลัก ๆ จะจำกัดอยู่แค่การเก็บไฟล์, สำรองข้อมูล, และสตรีมมีเดียผ่านแอปของ WD เองเท่านั้น ซึ่งสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปก็อาจจะเพียงพอแล้ว แต่สำหรับ Power User ที่มองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่จะเอาไปต่อยอดทำอะไรมากกว่านี้ อาจจะรู้สึกอึดอัดได้ครับ ดังนั้น WD My Cloud Home Duo จึงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอันดับหนึ่ง (ด้วย RAID 1) และต้องการโซลูชันที่ “แค่ใช้งาน” โดยไม่ต้องไปปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมเลย
คะแนนที่ได้
8.4/10
รีวิวสั้น ๆ
“อุ่นใจดีครับที่มีฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกสำรองข้อมูลกันเอง เคยใช้ External แล้วพังทีเดียวหายหมดเลย เข็ดแล้วครับ” – วิน, อายุ 45
“แอปใช้ง่ายดีค่ะ ไม่ซับซ้อน เหมาะกับคนไม่เก่งคอมอย่างเรา ใช้เก็บรูปหลาน ๆ เป็นหลักเลย” – ป้าพร, อายุ 58
8. Asustor Nimbustor 4 (AS5304T) ★★★☆☆
“NAS สายเกมเมอร์และสตรีมเมอร์! พอร์ต 2.5GbE คู่ พร้อม HDMI 2.0a เพื่อความบันเทิงเต็มรูปแบบ”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ถ้าคุณเป็นสายเกมเมอร์ที่กำลังมองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่จะมาเป็นคลังเก็บเกม Steam หรือ Epic Games ขนาดใหญ่ หรือเป็นสายสตรีมเมอร์ที่อยากได้ที่เก็บฟุตเทจการเล่นเกมของตัวเอง Asustor Nimbustor 4 (AS5304T) คือคำตอบที่น่าสนใจมากครับ ด้วยดีไซน์ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกของเกมมิ่ง พร้อมไฟ LED สีแดงดูดุดัน และสเปกที่จัดมาเพื่อความบันเทิงโดยเฉพาะ จุดเด่นที่สุดคือการให้พอร์ต LAN 2.5GbE มาถึง 2 พอร์ต ซึ่งสามารถรวมกันเป็น 5Gbps ได้ ทำให้การดาวน์โหลดเกมขนาดร้อยกว่า GB หรือการถ่ายโอนไฟล์วิดีโอ 4K ทำได้อย่างรวดเร็ว ลดเวลาในการรอไปได้เยอะมากครับ
สเปกเด่น
- CPU: Intel Celeron J4105 Quad-Core 1.5 GHz (burst up to 2.5 GHz)
- RAM: 4 GB DDR4 (ขยายได้สูงสุด 8 GB)
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 4 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 2 x 2.5GbE RJ-45, 3 x USB 3.2 Gen 1
- M.2 Drive Slots: 2 x M.2 NVMe SSD สำหรับทำ Cache
- HDMI Output: 1 x HDMI 2.0a (รองรับ 4K HDR)
รีวิวแบบเจาะลึก
Asustor Nimbustor 4 ไม่ได้มีดีแค่พอร์ต LAN ครับ มันยังมาพร้อมกับพอร์ต HDMI 2.0a ที่สามารถส่งสัญญาณภาพ 4K HDR (10-bit) ไปยังทีวีจอใหญ่หรือโปรเจคเตอร์ได้โดยตรง เมื่อรวมกับ CPU Intel Celeron J4105 ที่มี GPU ในตัวและรองรับ Hardware Transcoding สำหรับไฟล์ H.265 ทำให้มันเป็นเครื่องเล่นมีเดียเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลังมาก คุณสามารถลงแอปอย่าง Plex, Kodi, หรือ Asustor Portal แล้วใช้รีโมทควบคุมการเล่นหนังจากคลังส่วนตัวได้เลย ให้ประสบการณ์เหมือนใช้ Android TV Box ตัวท็อป ๆ เลยทีเดียวครับ นี่คือจุดที่ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนที่มองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่เป็นมากกว่าแค่ที่เก็บไฟล์ แต่เป็นศูนย์กลางความบันเทิงของบ้าน
ระบบปฏิบัติการของ Asustor คือ ADM (ASUSTOR Data Master) ที่มีหน้าตาคล้ายกับไอคอนบนสมาร์ทโฟน ทำให้ใช้งานง่ายและปรับแต่งได้สะดวก App Central ของ ADM ก็มีแอปที่น่าสนใจสำหรับเกมเมอร์และสตรีมเมอร์โดยเฉพาะ เช่น แอปสำหรับ Live Stream โดยตรงจาก NAS ไปยัง Twitch หรือ YouTube และยังสามารถใช้เป็นที่เก็บข้อมูลสำหรับ iSCSI LUN เพื่อสร้างไดรฟ์เสมือนสำหรับติดตั้งเกมได้อีกด้วย แม้ว่า Ecosystem โดยรวมอาจจะยังไม่ใหญ่เท่า Synology หรือ QNAP แต่ถ้าโจทย์ของคุณคือความบันเทิง, การสตรีมมิ่ง, และการเล่นเกมเป็นหลัก Nimbustor 4 ถือเป็น NAS ที่ออกแบบมาได้ตรงจุดและให้ฮาร์ดแวร์ที่คุ้มค่ามาก ๆ ครับ
คะแนนที่ได้
8.2/10
รีวิวสั้น ๆ
“ย้ายคลังเกม Steam มาลงตัวนี้หมดเลยครับ โหลดผ่าน 2.5GbE เร็วขึ้นเห็น ๆ” – มาร์ค, อายุ 25
“ใช้เป็น Plex Server ต่อออกทีวี 4K คือจบเลยครับ ภาพสวยเสียงดี แฟนชอบมาก” – โอ๊ต, อายุ 32
9. Orico Private Cloud NAS Storage (CD3520) ★★★☆☆
“NAS ราคาประหยัดที่สุด! สำหรับผู้ที่ต้องการแค่คลาวด์ส่วนตัวพื้นฐาน”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
สำหรับเพื่อน ๆ ที่มีงบจำกัดมาก ๆ แต่อยากจะลองมีคลาวด์ส่วนตัวไว้ใช้เก็บไฟล์และสำรองข้อมูลมือถือ และกำลังถามว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ราคาเบาที่สุดในตลาด Orico Private Cloud NAS Storage (CD3520) อาจจะเป็นคำตอบของคุณครับ Orico เป็นแบรนด์ที่เรารู้จักกันดีในเรื่องของอุปกรณ์เสริมคอมพิวเตอร์ราคาย่อมเยา และ NAS ตัวนี้ก็มาในคอนเซปต์เดียวกัน คือเน้นฟังก์ชันพื้นฐานที่จำเป็นในราคาที่ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ มันคืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็น “สะพาน” ให้เราสามารถเข้าถึงฮาร์ดไดรฟ์ที่บ้านได้จากทุกที่ผ่านอินเทอร์เน็ต โดยไม่ต้องไปตั้งค่า DDNS หรือ Port Forwarding ให้ยุ่งยาก ทุกอย่างจัดการผ่านแอปพลิเคชัน Weline ที่ใช้งานง่ายครับ
สเปกเด่น
- CPU: ARM Quad-Core 1.4GHz
- RAM: 1 GB DDR4
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 2 ช่อง 3.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x Gigabit Ethernet, 1 x USB-C
- ซอฟต์แวร์: ควบคุมผ่านแอป Weline (iOS/Android/Windows/Mac)
- ฟังก์ชันหลัก: File Access, Photo Backup, File Sharing
รีวิวแบบเจาะลึก
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า Orico Private Cloud ไม่ใช่ NAS เต็มรูปแบบเหมือนแบรนด์อื่น ๆ ในลิสต์นี้ครับ มันไม่มีระบบปฏิบัติการที่ซับซ้อนหรือ App Center ให้ติดตั้งโปรแกรมเพิ่ม ฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดจะผูกอยู่กับแอป Weline เป็นหลัก ซึ่งในแอปนี้เราสามารถอัปโหลด/ดาวน์โหลดไฟล์, สร้างโฟลเดอร์, ดูรูปภาพ, และที่สำคัญคือการเปิด Auto-backup สำหรับรูปภาพในมือถือได้ ซึ่งเป็นฟังก์ชันพื้นฐานที่หลายคนต้องการจากคลาวด์ส่วนตัว นอกจากนี้ยังสามารถสร้าง Sharing Group เพื่อเชิญเพื่อนหรือครอบครัวเข้ามาแชร์ไฟล์ในพื้นที่ที่กำหนดได้อีกด้วย ถือว่าเป็นการนำฟังก์ชันหลัก ๆ ของ NAS มาทำให้ง่ายและเข้าถึงได้ในราคาที่ถูกลงมาก ๆ ครับ
แน่นอนว่าด้วยราคาและสเปกที่จำกัด ประสิทธิภาพของมันก็ไม่ได้สูงนัก การถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่หรือการเข้าใช้งานพร้อมกันหลาย ๆ คนอาจจะมีความหน่วงอยู่บ้าง และไม่รองรับการทำงานหนักอย่างการสตรีมวิดีโอ 4K หรือการทำ Transcoding เลยครับ มันจึงเหมาะที่สุดสำหรับผู้ใช้งานคนเดียวที่ต้องการพื้นที่ส่วนกลางสำหรับเก็บไฟล์เอกสาร, รูปภาพ, และสำรองข้อมูลมือถือเป็นหลัก ถ้าโจทย์ของคุณมีเพียงเท่านี้และกำลังมองหา NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ไม่ต้องจ่ายแพง Orico Private Cloud ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจ ให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การมีคลาวด์ส่วนตัวโดยไม่ต้องลงทุนเยอะครับ
คะแนนที่ได้
7.9/10
รีวิวสั้น ๆ
“ซื้อมาใช้แค่ backup รูปจากมือถือเลยครับ ก็โอเคนะครับ ทำงานได้ตามที่ต้องการในราคาไม่ถึงสองพัน” – ใหม่, อายุ 24
“แอปใช้ง่ายดีครับ ไม่ซับซ้อน แต่ถ้าจะโยนไฟล์ใหญ่ ๆ จะช้าหน่อย เหมาะกับเก็บไฟล์เอกสารมากกว่า” – เอก, อายุ 30
10. Synology DS124 DiskStation (Without HDD) ★★★☆☆
“ประตูสู่โลกของ Synology! สัมผัสประสบการณ์ DSM เต็มรูปแบบในราคาเริ่มต้น”
สามารถเช็คราคา ณ ปัจจุบัน และส่วนลดได้ที่ : ⬇️
ปิดท้ายลิสต์ NAS ยี่ห้อไหนดี ของเราด้วยรุ่นน้องเล็กสุดจากค่าย Synology อย่าง DS124 ครับ รุ่นนี้อาจจะดูธรรมดาเพราะมีช่องใส่ฮาร์ดไดรฟ์แค่ช่องเดียว (1-Bay) ทำให้ไม่สามารถทำ RAID เพื่อปกป้องข้อมูลได้ แต่ความไม่ธรรมดาของมันคือการที่มันสามารถรันระบบปฏิบัติการ DiskStation Manager (DSM) ตัวเต็มได้เหมือนกับรุ่นพี่ราคาหลายหมื่น! นี่คือจุดขายที่สำคัญที่สุดครับ มันเป็นเหมือน “ตั๋ว” ที่จะพาผู้ใช้หน้าใหม่เข้าไปสัมผัสกับ Ecosystem ที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดของวงการ NAS ในราคาที่เข้าถึงง่ายที่สุด เหมาะสำหรับนักเรียน, นักศึกษา, หรือใครก็ตามที่อยากจะเรียนรู้และทดลองใช้งานฟีเจอร์ต่าง ๆ ของ Synology ก่อนที่จะขยับขยายไปรุ่นใหญ่ในอนาคต
สเปกเด่น
- CPU: Realtek RTD1619B Quad-Core 1.7 GHz
- RAM: 1 GB DDR4 (ไม่สามารถเพิ่มได้)
- จำนวนช่องใส่ไดรฟ์: 1 ช่อง 3.5-inch/2.5-inch SATA
- พอร์ตเชื่อมต่อ: 1 x 1GbE RJ-45, 2 x USB 3.2 Gen 1
- ซอฟต์แวร์: DiskStation Manager (DSM) ตัวเต็ม
- การใช้พลังงาน: ต่ำมาก (ประมาณ 11W ตอนทำงาน)
รีวิวแบบเจาะลึก
การที่ DS124 รัน DSM ตัวเต็มได้หมายความว่าคุณจะสามารถใช้งานแอปพลิเคชันระดับโปรของ Synology ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Synology Photos ที่มี AI ช่วยจัดการคลังรูป, Synology Drive ที่เป็นคลาวด์ซิงค์ไฟล์ส่วนตัว, Audio Station สำหรับสตรีมคลังเพลง, Video Station สำหรับจัดการคลังหนัง, หรือแม้กระทั่ง Surveillance Station ที่ใช้บันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด (รองรับฟรี 2 ไลเซนส์) นี่คือความสามารถที่ NAS ราคาประหยัดจากแบรนด์อื่นให้ไม่ได้ และเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ DS124 ยังคงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับซอฟต์แวร์เป็นอันดับแรก การมี NAS ที่ทำอะไรได้หลากหลายขนาดนี้ในราคาไม่กี่พันบาท ถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากครับ
แน่นอนว่าด้วยการที่เป็นรุ่นเริ่มต้น สเปกฮาร์ดแวร์ของ DS124 ก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการทำงานหนักครับ CPU Realtek และ RAM 1GB เหมาะสำหรับการใช้งานส่วนตัวหรือครอบครัวเล็ก ๆ ที่เข้าใช้งานไม่กี่คนพร้อมกัน การสตรีมวิดีโอ 1080p หรือการจัดการไฟล์ทั่วไปทำได้สบาย ๆ แต่ถ้าจะให้มันทำ 4K Transcoding หรือรัน Docker หลาย ๆ ตัวก็อาจจะไม่ไหวครับ และข้อจำกัดที่สำคัญที่สุดคือการมีแค่ 1-Bay ซึ่งหมายความว่าคุณต้องมีแผนสำรองข้อมูลที่ดีสำหรับข้อมูลที่เก็บอยู่ใน DS124 ด้วย เช่น การใช้ Hyper Backup ใน DSM เพื่อสำรองข้อมูลไปยังคลาวด์สาธารณะหรือ External Harddisk อีกทีหนึ่ง แต่ถ้าคุณเข้าใจข้อจำกัดนี้และมองหาวิธีที่คุ้มค่าที่สุดในการเริ่มต้นกับ Ecosystem ของ Synology, DS124 ก็คือคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถาม NAS ยี่ห้อไหนดี ครับ
คะแนนที่ได้
7.5/10
รีวิวสั้น ๆ
“ซื้อมาลองเล่น DSM โดยเฉพาะเลยครับ ชอบมาก ตอนนี้ใช้เป็นที่ซิงค์ไฟล์งานกับโหลดบิตเป็นหลักเลย” – ก้อง, อายุ 22
“ตัวเล็กดี ไม่เกะกะ เสียงก็เงียบ ใช้เก็บรูปกับสตรีมเพลงฟังในบ้านก็โอเคเลยค่ะ” – ฟ้า, อายุ 27
มุมมองจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ: อนาคตของ NAS ในปี 2025 และปีต่อ ๆ ไป
การเลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ในปัจจุบัน ไม่ใช่แค่การเลือกซื้อ “กล่องใส่ฮาร์ดดิสก์” อีกต่อไป แต่มันคือการลงทุนใน “แพลตฟอร์ม” ที่จะกลายเป็นศูนย์กลางชีวิตดิจิทัลของเรา ทีมงานจากเว็บไซต์รีวิวเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง StorageReview และ ServeTheHome ต่างเห็นตรงกันว่าตลาด NAS กำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่น่าตื่นเต้น
“ผู้บริโภคในปัจจุบันคาดหวังให้ NAS ทำได้มากกว่าแค่การเก็บไฟล์ พวกเขามองหามันในฐานะเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวที่สามารถรันแอปพลิเคชัน, สตรีมมีเดีย, และทำงานร่วมกับอุปกรณ์ IoT อื่น ๆ ในบ้านได้… ดังนั้น สงครามที่แท้จริงในตลาด NAS จึงไม่ใช่เรื่องของฮาร์ดแวร์อีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ‘ระบบปฏิบัติการ’ และ ‘Ecosystem’ ของแอปพลิเคชัน”
เทรนด์สำคัญที่กำหนดทิศทางตลาด NAS
- ความเร็วเน็ตเวิร์คคือมาตรฐานใหม่: พอร์ต 1GbE กำลังจะกลายเป็นอดีต พอร์ต 2.5GbE กำลังจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ NAS ระดับกลางขึ้นไป ในขณะที่ 10GbE ก็เริ่มมีราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับการทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่ เช่น การตัดต่อวิดีโอ 4K/8K โดยตรงจาก NAS
- พลังของ AI และ Machine Learning: การนำ NPU หรือ GPU มาใช้เพื่อเร่งการประมวลผลด้าน AI กำลังกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น โดยเฉพาะในแอปพลิเคชันจัดการรูปภาพที่สามารถจดจำใบหน้า, วัตถุ, และจัดหมวดหมู่ได้เองโดยอัตโนมัติ ทำให้การจัดการคลังภาพขนาดใหญ่เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
- M.2 NVMe ไม่ใช่แค่สำหรับ Cache อีกต่อไป: ในอดีต สล็อต M.2 NVMe บน NAS มักจะใช้สำหรับทำ SSD Caching เพื่อเร่งความเร็วในการเข้าถึงข้อมูล แต่ในปัจจุบัน NAS รุ่นใหม่ ๆ เริ่มรองรับการใช้ NVMe SSD เป็น Storage Pool โดยตรง ทำให้ได้ประสิทธิภาพความเร็วในระดับสูงสุด เหมาะสำหรับงานที่ต้องการ IOPS สูง ๆ เช่น การรัน Virtual Machine หรือฐานข้อมูล
- ความปลอดภัยคือหัวใจ: ด้วยเหตุการณ์ Ransomware ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ผู้ผลิต NAS จึงให้ความสำคัญกับฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบไฟล์อย่าง ZFS ที่ช่วยป้องกันข้อมูลเสียหาย, การยืนยันตัวตนแบบสองขั้นตอน (2FA), หรือระบบ Snapshot ที่ช่วยให้เราย้อนคืนข้อมูลกลับไป ณ เวลาใดเวลาหนึ่งก่อนที่จะถูกโจมตีได้
บทวิเคราะห์จากทีมงาน TOPLISTPLUS
“การเลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ในปี 2025 คือการเลือกลงทุนใน Ecosystem ที่จะเติบโตไปพร้อมกับคุณ ฮาร์ดแวร์ที่แรงในวันนี้อาจจะตกรุ่นในวันหน้า แต่ระบบปฏิบัติการที่ดีและมีแอปพลิเคชันรองรับหลากหลายจะยังคงมีประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการลงทุนของคุณได้ในระยะยาว ดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจซื้อ อย่าลืมใช้เวลาศึกษาและลองเล่น Demo ของระบบปฏิบัติการแต่ละค่าย (Synology DSM, QNAP QTS, ASUSTOR ADM) เพื่อหาแพลตฟอร์มที่ ‘คลิก’ กับสไตล์การใช้งานของคุณมากที่สุดครับ”
เคล็ดลับการเลือกซื้อ NAS ยี่ห้อไหนดี ให้เหมาะกับคุณ
การจะตอบคำถามว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่สุดนั้น ไม่มีคำตอบที่ตายตัวครับ เพราะ NAS ที่ดีที่สุดคือ NAS ที่ตอบโจทย์การใช้งานและงบประมาณของเราได้พอดีที่สุด ลองใช้เช็คลิสต์นี้เพื่อช่วยในการตัดสินใจดูนะครับ
- คุณคือใคร? (กำหนดประเภทผู้ใช้):
- ผู้ใช้ตามบ้าน (Home User): ต้องการสำรองข้อมูลมือถือ, เก็บรูป, สตรีมหนัง 1080p/4K มองหารุ่น 2-Bay ที่ใช้งานง่ายอย่าง Synology BeeStation หรือ QNAP TS-233 ก็เพียงพอแล้วครับ
- Power User / Tech Enthusiast: ชอบทดลอง, รัน Docker, ตั้งค่า Home Lab, หรือทำ Plex Server แบบจัดเต็ม ควรมองหารุ่น 4-Bay ขึ้นไปที่มี CPU Intel/AMD และ RAM 8GB+ เช่น Synology DS1522+ หรือ TerraMaster F4-424 Pro
- Content Creator / SME: ทำงานกับไฟล์ขนาดใหญ่, ต้องการความเร็วสูงสุดในการตัดต่อ, และความปลอดภัยของข้อมูลต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง รุ่นที่มีพอร์ต 2.5GbE/10GbE/Thunderbolt และรองรับ RAID 5/6 อย่าง QNAP TVS-h674T คือคำตอบครับ
- จะใส่กี่ลูก? (จำนวน Bays): จำนวนช่องใส่ฮาร์ดไดรฟ์เป็นตัวกำหนดความจุสูงสุดและความสามารถในการทำ RAID ครับ 2-Bay เหมาะสำหรับทำ RAID 1 (Mirror) เพื่อป้องกันไดรฟ์เสีย 1 ลูก ส่วน 4-Bay ขึ้นไปจะยืดหยุ่นกว่า สามารถทำ RAID 5 หรือ 6 ที่ให้ทั้งความจุและ отказоустойчивость ได้ดีกว่า
- หัวใจต้องแรงแค่ไหน? (CPU และ RAM): ถ้าใช้งานแค่เก็บไฟล์ CPU แบบ ARM ก็เพียงพอและประหยัดไฟ แต่ถ้าจะสตรีมหนัง 4K (Transcoding), รันแอปเยอะ ๆ, หรือใช้ Virtual Machine ต้องเลือก CPU Intel/AMD เท่านั้นครับ ส่วน RAM ยิ่งเยอะยิ่งดี โดยเฉพาะถ้าจะเล่น Docker หรือ VM ควรมีอย่างน้อย 8GB ขึ้นไป
- ซอฟต์แวร์สำคัญที่สุด (OS และ Ecosystem): ลองเข้าไปเล่น Live Demo ของแต่ละค่ายครับ Synology DSM ขึ้นชื่อเรื่องความเสถียรและใช้งานง่าย, QNAP QTS มีฟีเจอร์ให้ปรับแต่งเยอะมาก, ASUSTOR ADM เน้นด้านมัลติมีเดีย, ส่วน TerraMaster TOS ก็ให้สเปกแรงในราคาที่คุ้มค่า เลือกค่ายที่คุณรู้สึกว่าใช่ที่สุดครับ
- อย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายแฝง: ราคา NAS ที่เห็นเป็นแค่ราคาเครื่องเปล่า อย่าลืมบวกราคาฮาร์ดไดรฟ์สำหรับ NAS (เช่น WD Red Plus หรือ Seagate IronWolf) เข้าไปด้วยนะครับ ซึ่งบางทีราคาฮาร์ดไดรฟ์อาจจะแพงกว่าตัวเครื่องเสียอีก!
ไขข้อข้องใจ: RAID คืออะไร และสำคัญกับ NAS แค่ไหน?
เวลาเราพูดถึงเรื่อง NAS ยี่ห้อไหนดี คำหนึ่งที่เราจะได้ยินบ่อยมากคือ “RAID” ครับ RAID (Redundant Array of Independent Disks) คือเทคโนโลยีที่นำฮาร์ดไดรฟ์หลาย ๆ ลูกมาทำงานร่วมกันเพื่อเป้าหมายหลัก 2 อย่าง คือ เพิ่มประสิทธิภาพ (Performance) หรือ เพิ่มความปลอดภัยของข้อมูล (Redundancy) หรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน การมี RAID คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ NAS เหนือกว่า External Harddisk ธรรมดาครับ มาทำความรู้จัก RAID รูปแบบที่นิยมใช้ใน NAS กันแบบง่าย ๆ ครับ
- RAID 0 (Striping): นำไดรฟ์ 2 ลูกขึ้นไปมาต่อกันเพื่อ “รวมความเร็ว” ข้อมูลจะถูกแบ่งเขียนลงไดรฟ์ทุก ๆ ลูกพร้อมกัน ทำให้เร็วมาก แต่! ไม่มีความปลอดภัยเลย ถ้าไดรฟ์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ข้อมูลจะหายทั้งหมด เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูงชั่วคราว เช่น พื้นที่พักไฟล์สำหรับตัดต่อวิดีโอ แต่ไม่เหมาะกับการเก็บข้อมูลระยะยาว
- RAID 1 (Mirroring): ใช้ไดรฟ์ 2 ลูก ข้อมูลจะถูก “เขียนเหมือนกันทั้ง 2 ลูก” เหมือนกระจกเงา ถ้าลูกหนึ่งเสีย อีกลูกก็ยังมีข้อมูลครบถ้วน 100% ปลอดภัยสูง แต่ข้อเสียคือเราจะเสียพื้นที่ความจุไปครึ่งหนึ่ง เช่น ใส่ไดรฟ์ 4TB 2 ลูก จะใช้ได้แค่ 4TB เหมาะสำหรับเก็บข้อมูลสำคัญมาก ๆ ใน NAS แบบ 2-Bay
- RAID 5: รูปแบบที่นิยมที่สุดสำหรับ NAS 4-Bay ขึ้นไป ต้องใช้ไดรฟ์อย่างน้อย 3 ลูก โดยจะใช้พื้นที่ของไดรฟ์ 1 ลูกในการเก็บข้อมูล “Parity” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้สำหรับกู้คืนในกรณีที่ไดรฟ์ลูกใดลูกหนึ่งเสีย ทำให้เราได้ทั้งความจุและความปลอดภัย สามารถทนไดรฟ์เสียได้ 1 ลูกพร้อมกัน
- Synology Hybrid RAID (SHR): นี่คือ RAID พิเศษของ Synology ที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่ายและยืดหยุ่นกว่า RAID มาตรฐาน มันช่วยให้เราสามารถใช้ฮาร์ดไดรฟ์ขนาดไม่เท่ากันมาทำ RAID ร่วมกันได้ และยังจัดการพื้นที่ให้เราโดยอัตโนมัติ เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ไม่ต้องการปวดหัวกับการคำนวณ RAID ครับ
ดังนั้น การเลือกว่าจะใช้ RAID แบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับจำนวน Bay ของ NAS และความสำคัญของข้อมูลของเราครับ ถ้าข้อมูลสำคัญมาก อย่างน้อยควรเลือกใช้ RAID 1 หรือ RAID 5 ครับ
เปลี่ยนบ้านให้เป็นโรงหนังส่วนตัวด้วย NAS และ Plex
อีกหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้หลายคนมองหาว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ก็คือความฝันที่จะมี “Netflix ส่วนตัว” ครับ! ซึ่งแอปพลิเคชันที่ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุดก็คือ Plex และ Jellyfin ครับ ทั้งสองแอปนี้จะทำหน้าที่สแกนคลังหนัง, ซีรีส์, หรือเพลงที่เราเก็บไว้ใน NAS แล้วดึงข้อมูลปก, เรื่องย่อ, นักแสดง มาจัดเรียงให้สวยงามเป็นระเบียบเหมือนบริการสตรีมมิ่งชั้นนำเลยทีเดียว เราสามารถเปิดดูได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นทีวี 4K ในห้องนั่งเล่น, iPad, หรือมือถือระหว่างเดินทาง
หัวใจสำคัญของการใช้ NAS เป็น Media Server คือ “Transcoding” ครับ Transcoding คือกระบวนการที่ NAS แปลงไฟล์วิดีโอแบบเรียลไทม์เพื่อให้เหมาะกับอุปกรณ์ปลายทาง เช่น ถ้าเรามีไฟล์หนัง 4K แต่ต้องการเปิดดูบนมือถือที่หน้าจอเป็น Full HD, NAS ก็จะทำการ Transcode ไฟล์นั้นให้เป็น Full HD ก่อนส่งมาให้เรา ซึ่งกระบวนการนี้ใช้พลัง CPU สูงมากครับ ดังนั้นถ้าใครตั้งใจจะใช้ฟีเจอร์นี้เป็นหลัก ตอนเลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ก็ควรเลือกรุ่นที่ใช้ CPU Intel/AMD ที่มี GPU ในตัว (รองรับ Intel Quick Sync Video) เพราะมันจะช่วยเรื่อง Hardware Transcoding ได้อย่างมหาศาล ทำให้ดูหนังลื่นไหลไม่มีสะดุดและไม่รบกวนการทำงานอื่น ๆ ของ NAS ครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- ถาม: ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์สำหรับ NAS โดยเฉพาะไหม?
ตอบ: แนะนำเป็นอย่างยิ่งครับ ควรใช้ฮาร์ดไดรฟ์ที่ออกแบบมาสำหรับ NAS โดยเฉพาะ เช่น Seagate IronWolf หรือ WD Red Plus เพราะไดรฟ์เหล่านี้ถูกสร้างมาให้ทนทานต่อการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง มี Vibration Sensor และเฟิร์มแวร์ที่เหมาะกับการทำงานในระบบ RAID ซึ่งจะเสถียรกว่าฮาร์ดไดรฟ์สำหรับ Desktop ทั่วไปครับ - ถาม: NAS กินไฟเยอะไหม? เปิดทิ้งไว้ทั้งวันจะเปลืองไฟหรือเปล่า?
ตอบ: โดยทั่วไปแล้ว NAS กินไฟน้อยกว่าคอมพิวเตอร์ Desktop มากครับ รุ่นเริ่มต้นอย่าง DS124 อาจจะกินไฟแค่ประมาณ 10-15 วัตต์ตอนทำงาน ส่วนรุ่นใหญ่ 4-5 Bay ก็อาจจะอยู่ราว ๆ 30-50 วัตต์ ซึ่งเมื่อเทียบกับการเปิดคอมทิ้งไว้ทั้งวันถือว่าประหยัดกว่าเยอะ และ NAS ส่วนใหญ่ก็มีโหมดประหยัดพลังงานที่สามารถตั้งให้ HDD หยุดหมุนเมื่อไม่มีการใช้งานได้ครับ - ถาม: ถ้าไม่เก่งคอมเลย จะตั้งค่า NAS ได้ไหม?
ตอบ: ได้สบายมากครับ ปัจจุบันผู้ผลิตอย่าง Synology และ QNAP ได้ออกแบบขั้นตอนการตั้งค่าเริ่มต้นมาให้ง่ายมาก ๆ แค่ทำตาม Wizard บนหน้าเว็บไปทีละขั้นตอนก็สามารถใช้งานได้แล้ว หรือถ้าต้องการความง่ายขั้นสุดจริง ๆ รุ่นอย่าง Synology BeeStation ก็แค่สแกน QR Code ก็พร้อมใช้งานทันทีครับ - ถาม: จะเข้าถึงไฟล์ใน NAS จากนอกบ้านได้อย่างไร? ปลอดภัยไหม?
ตอบ: ผู้ผลิตแต่ละเจ้าจะมีบริการที่ช่วยให้เราเข้าถึง NAS จากนอกบ้านได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องตั้งค่าที่เราเตอร์ให้ยุ่งยาก เช่น QuickConnect ของ Synology หรือ myQNAPcloud ของ QNAP ซึ่งมีความปลอดภัยสูงเพราะมีการเข้ารหัสข้อมูล แต่เพื่อความปลอดภัยสูงสุด แนะนำให้เปิดใช้งานการยืนยันตัวตนสองขั้นตอน (2FA) และตั้งรหัสผ่านที่คาดเดายากเสมอครับ
บทสรุป: เลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ที่ใช่ ให้ชีวิตดิจิทัลของคุณง่ายขึ้น
มาถึงตรงนี้ หวังว่าเพื่อน ๆ น่าจะได้คำตอบในใจกันบ้างแล้วนะครับว่า NAS ยี่ห้อไหนดี ที่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของคุณในปี 2025 จะเห็นได้ว่าตลาด NAS ทุกวันนี้มีตัวเลือกที่หลากหลายมาก ตั้งแต่รุ่นที่ง่ายสุด ๆ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ ไปจนถึงเซิร์ฟเวอร์ทรงพลังสำหรับสตูดิโอโปรดักชัน การตัดสินใจที่ดีที่สุดไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ารุ่นไหนสเปกแรงที่สุด แต่ขึ้นอยู่กับว่ารุ่นไหนที่ตอบโจทย์ “การใช้งานจริง” ของเราได้พอดีที่สุดครับ
ถ้าให้สรุปสั้น ๆ สำหรับผู้ใช้งานแต่ละกลุ่ม ทีมงาน TOPLISTPLUS ขอแนะนำดังนี้ครับ:
- ที่สุดของความครบเครื่องและยืดหยุ่น: Synology DS1522+ คือคำตอบสุดท้ายสำหรับ Power User และ SME ด้วย Ecosystem ของ DSM ที่แข็งแกร่งและฮาร์ดแวร์ที่พร้อมต่อยอดในอนาคต
- สำหรับมือโปรสายวิดีโอ: QNAP TVS-h674T ที่มี Thunderbolt 4 ในตัว คือ Game Changer ที่จะเปลี่ยน Workflow การทำงานของคุณไปตลอดกาล
- ที่สุดแห่งความคุ้มค่า: ถ้ามองหาสเปกที่แรงที่สุดในงบที่จำกัด TerraMaster F4-424 Pro ให้ประสิทธิภาพที่น่าทึ่งในราคาที่จับต้องได้
- สำหรับผู้เริ่มต้นที่แท้จริง: Synology BeeStation มอบประสบการณ์ Private Cloud ที่ง่ายที่สุด ใคร ๆ ก็สามารถมีคลาวด์ส่วนตัวได้
สุดท้ายนี้ การลงทุนกับ NAS คือการลงทุนเพื่อ “ความเป็นเจ้าของ” และ “ความเป็นส่วนตัว” ในข้อมูลของเราเองครับ ในยุคที่ข้อมูลมีค่ามากกว่าทองคำ การมีพื้นที่ปลอดภัยที่เราควบคุมได้เอง 100% ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้เพื่อน ๆ เลือก NAS ยี่ห้อไหนดี ได้ง่ายขึ้นและมีความสุขกับชีวิตดิจิทัลที่เป็นของคุณอย่างแท้จริงนะครับ!
หมายเหตุจากผู้เขียน: NAS ยี่ห้อไหนดี
- รายละเอียดสเปก, คุณสมบัติ, และราคาที่ระบุในบทความนี้ เป็นข้อมูล ณ ช่วงเวลาที่จัดทำ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต กรุณาตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากเว็บไซต์ทางการของผู้ผลิต ได้แก่ Synology, QNAP, TerraMaster, ASUSTOR, และ WD หรือตัวแทนจำหน่ายที่เชื่อถือได้อีกครั้ง
- คะแนน NAS ยี่ห้อไหนดี (เช่น 9.8/10) เป็นการประเมินโดยทีมงาน TOPLISTPLUS โดยอ้างอิงจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ ประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์, ความสามารถของระบบปฏิบัติการ, Ecosystem ของแอปพลิเคชัน, ความยืดหยุ่นในการอัปเกรด, และความคุ้มค่าต่อราคา
- รีวิวสั้น ๆ จากผู้ใช้งาน (เช่น “เอก, อายุ 38”) เป็นเพียงตัวอย่างสมมติที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพการนำไปใช้งานในสถานการณ์จริงได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
- บทความนี้เน้นการให้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ การเลือกซื้อ NAS ยี่ห้อไหนดี ควรพิจารณาถึงความต้องการใช้งานส่วนบุคคลและงบประมาณเป็นสำคัญที่สุด













